นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) เปิดเผยว่า การที่ผู้ประกอบการทีวิดิจิทัลคืนใบอนุญาต 7 รายนั้นประเมินว่ากระทบต่อการดำเนินธุรกิจจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ของ JKN บางส่วนเท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นช่องรายการเด็ก เยาวชนและครอบครัว รวมถึงสถานีข่าว
ขณะที่กลุ่มคู่ค้าหลักของ JKN ที่ประกอบด้วย ช่อง 3HD, ช่อง 8 ยังคงดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัลตามเดิม และได้รับคำยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปินส์ไปออกกาศตามแผนงานเดิม ขณะเดียวกันบริษัทได้ลูกค้ารายใหม่เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เข้ามาเพิ่มเติมมูลค่าสัญญามากกว่า 100 ล้านบาท รวมถึงความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าทีวีดิจิทัล เช่น ททบ.5 ซึ่งสามารถชดเชยรายได้บางส่วนที่จะหายไปจากคู่ค้าที่คืนช่องทีวีดิจิทัลได้
ทั้งนี้ JKN ประเมินว่ามาตรการของภาครัฐที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลด้วยการยกเว้นชำระค่าใบอนุญาต 2 งวดสุดท้าย จะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการทำให้มีเงินลงทุนในด้านคอนเทนต์มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ JKN ในการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ได้มากขึ้น เนื่องจากการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์จะมีราคาถูกกว่าการผลิตคอนเทนต์จากทางสถานีเอง
ดังนั้น บริษัทจึงยังคงมั่นใจในแผนงานธุรกิจที่ยังมีความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตที่ดีจากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ภายในประเทศที่ยังรักษาอัตราการเติบโตได้ตามแผน และส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานปีนี้ที่มั่นใจว่าจะเติบโต 20% ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
"การคืนช่องทีวีดิจิทัลกระทบต่อรายได้ของบริษัทฯ บางส่วนเท่านั้น เนื่องจากล่าสุดเรามีลูกค้าเดิมที่ได้ลงนามเซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปออกอากาศเพิ่มเติมเข้ามาชดเชย อีกทั้งยังมีการเจรจากับลูกค้ารายอื่นๆ ที่ให้ความสนใจเข้ามาซื้อคอนเทนต์เพิ่มเติม จึงมั่นใจว่าเป้าหมายปีนี้จะผลักดันการเติบโตได้ตามแผนงาน" นายจักรพงษ์ กล่าว