นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/62 มีกำไรสุทธิ 224.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 108.36 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,460.60 ล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้การขายไฟฟ้าและส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเท่ากับ 850.35 ล้านบาท รายได้จากการรับเหมาก่อสร้างและให้บริการเท่ากับ 263.49 ล้านบาท และรายได้จากการขายเท่ากับ 331.16 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ทยอยประมูลงานใหม่ ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้มีแผนเข้าประมูลงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย และระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้า โดยต้นปีที่ผ่านมาได้ยื่นประมูลไปแล้วประมาณ 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานประมาณ 20% ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลการประมูลภายในไตรมาส 2 นี้
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือปีนี้ของกลุ่มบริษัท คาดว่าน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น จากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) ประมาณ 6,100 ล้านบาท จึงทำให้มั่นใจรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตปีนี้ไม่น้อยกว่า 30%
"ผลประกอบการในไตรมาส 1/62 ที่ออกมานั้น ถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะสามารถเติบโตทั้งรายได้และกำไรจากธุรกิจผลิตและจัดหาอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า การจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าพลังงานลม แม้รายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างจะน้อยกว่าไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว ซึ่งภายในไตรมาส 2 คาดว่าจะมี Order Backlog อยู่ที่ 6,100 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้และปีหน้าบางส่วน"นางสาวโศภชา กล่าว
นางสาวโศภชา กล่าวว่า ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทยังมีโครงการเข้าร่วมประมูลที่สำคัญอีกกว่า 5,000 ล้านบาท เช่น งานเคเบิ้ลใต้ทะเล ระบบ 115 kv เกาะสมุย มูลค่า 1,700 ล้านบาท งานเคเบิ้ลใต้ทะเล ระบบ 33 kv เกาะเต่า 1,300 ล้านบาท และงานควบคุมระบบ SCADA แบบ TDMS ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำนวน 1,100 ล้านบาท ตลอดจนงานสถานีลดแรงดันไฟฟ้าในระบบ 115 kv และ 22 kv อีกหลายรายการ
อย่างไรก็ตาม นับต่อจากนี้ GUNKUL จะเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนที่ได้วางไว้อย่างเต็มที่ รวมทั้งพร้อมเดินหน้าโครงการโซลาร์บนหลังคาและโซลาร์ภาคประชาชน ซึ่งยังเน้นการลงทุนด้านพลังงานทดแทนทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 8,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 30%