นางณิชชา จิรเมธธนกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) กล่าวว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/62 จะดีกว่าไตรมาส 1/62 เนื่องจากมองว่าผลงานน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยโรงงาน RDCC (Residue Deep Catalytic Cracking) ซึ่งเป็นหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันหนัก สามารถกลับมาเดินเครื่องผลิตได้ตามปกติ หลังหยุดการผลิตเพื่อติดตั้งตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการทำงานของอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน (โครงการ Catalyst Cooler) เป็นเวลา 28 วันในไตรมาส 1/62
นอกจากนี้คาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับก็คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ก็จะดีกว่าไตรมาส 1/62 เป็นไปตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และค่าการกลั่น (GRM) ก็น่าจะดีขึ้นด้วย
สำหรับในไตรมาส 2/62 บริษัทจะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ จาก 300 วันเป็น 400 วัน จำนวน 760 ล้านบาทด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทได้ทำการบริหารต้นทุนทางการเงิน ด้วยการทำสัญญาแลกเปลี่ยนเงินต้นและดอกเบี้ย (Cross Currency Swap :CCS) โดยการแปลงหนี้ที่เป็นเงินบาทมาเป็นเงินเหรียญในตอนที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับสูงเพิ่มเติม ทำให้จะได้กำไรเข้ามาเพิ่มขึ้น ประกอบกับ CCS มี Due date ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้สามารถรับรู้กำไรเข้ามาอีก ซึ่งมองว่าน่าจะชดเชยกับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทจะมีการทำ hedging policy อย่างเข้มข้น ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด) โดยจะอาศัยจังหวะในการเข้าดำเนินการผ่านคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของบริษัท ซึ่งจะมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงไม่เกิน 50% ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนทำโซลาร์ลอยน้ำ ขนาด 12.5 เมกะวัตต์ (MW) เพื่อใช้ในโรงงานของ IRPC คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ในไตรมาส 2/63 วางงบลงทุนประมาณ 550 ล้านบาท และมีอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) อยู่ที่ 17% อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าการทำโซลาร์ลอยน้ำน่าจะมีโอกาสที่ดีในอนาคต เนื่องจากเม็ดพลาสติกที่ใช้ทำทุ่นถือว่าเป็นที่ยอมรับในหน่วยงานราชการแล้ว และตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวพ.ศ.2561-2580 (PDP2018) ที่จะมีการเปิดประมูลงานก่อสร้างโครงการโซลาร์ลอยน้ำ ขนาด 2,500-2,700 เมกะวัตต์ ก็จะทำให้บริษัน่าจะขยายธุรกิจเข้าไปตรงนั้นได้