นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงและผันผวนในช่วงนี้ เกิดขึ้นจากความกังวลประเด็นสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐและจีน ที่อาจจะมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่เฉพาะแค่ประเทศไทยเท่านั้น สะท้อนจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำนักลงทุนให้คอยติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด และต้องมีความเข้าใจในสินทรัพย์ที่ลงทุน เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) นั้น นักลงทุนต้องวิเคราะห์โครงสร้างในการทำธุรกิจให้สามารถรองรับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ อาทิ บริษัทที่มีการกระจายความเสี่ยงรายได้ในหลายประเทศ หรือบริษัทที่พึ่งพิงการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ค่อนข้างมีภูมิคุ้มกันสูง ฝ่ายวิจัยฯได้ศึกษาข้อมูลบริษัทจดทะเบียนเกือบ 46% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ส่วนใหญ่มีรายได้ที่มาจากหลายๆประเทศ ทำให้มีผลกระทบในเชิงธุรกิจที่ค่อนข้างจำกัด
ด้านนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า สงครามการค้าได้สร้างความกังวลให้ตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้อย่างชัดเจน แต่ในระยะสั้นคาดว่าจะทำให้ภาคธุรกิจ และนักลงทุนทั่วโลกอาจจะชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอความชัดเจน ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยจะแข็งแกร่ง แต่มีปัจจัยกดดันหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของกำไร บจ.ปีนี้ ที่คาดจะขยายตัวเพียง 7-8% เท่านั้น ทำให้การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยมีจำกัด ดังนั้น จึงต้องการให้นักลงทุนหันมาลงทุนในระยะกลาง ถึงยาวมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนระยะสั้น รวมถึงการเลือกหุ้นควรพิจารณาบริษัทที่ทำธุรกิจ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากนัก
"บจ.ไทยค่อนข้างมีภูมิคุ้มกันที่ดีในระดับหนึ่ง โดยข้อดี คือ ไม่มีภาระหนี้จากต่างประเทศในระดับสูง มีกระแสเงินสดในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่กังวลคือการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ บริษัทที่ต้องรับออร์เดอร์จากต่างประเทศจะถูกกระทบจากการชะลอคำสั่งซื้อหรือไม่" นางภัทธีรา กล่าว
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ความขัดแย้งในเรื่องสงครามการค้าน่าจะมีความยืดเยื้อ และจะส่งผลกระทบให้ในระยะสั้นตลาดปรับฐาน แต่ยังเชื่อว่ายังมีขาลงที่จำกัด โดยในรอบนี้น่าจะมีแนวรับที่ 1,580 จุด ก่อนจะค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นรอบใหม่ ซึ่งควาดว่าจะเห็นชัดเจนช่วงไตรมาส 3/2562 เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากการตั้งรัฐบาลใหม่ และมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ อาทิ การเดินหน้าโครงการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ เป็นปัจจัยหนุนให้ภาคเอกชนกลับมาเร่งลงทุนได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในระยะปานกลางตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลง และมีโอกาสลงไปทดสอบที่ 1,500 จุด เพราะผลกระทบของสงครามการค้าจะทำให้ธุรกิจส่งออก และท่องเที่ยวชะลอตัว
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ สามารถรองรับความผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มโรงแรม, กลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มไอซีที และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น