นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/62 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาส 1/62 หลังส่วนต่าง (สเปรด) ราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันดิบเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ขณะที่การปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มปตท.ในปีนี้ ก็จะทำให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ขณะเดียวกันในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบ น่าจะยังยืนทรงตัวสูงในระดับปัจจุบันที่ราว 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามสถานการณ์ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนด้วย เพราะขณะนี้เริ่มเห็นผลกระทบแล้วจากสเปรดผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกปรับตัวลง ซึ่งกลุ่มปตท.ก็ได้ปรับแผนธุรกิจและการตลาด โดยไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง แต่จะหันไปทำตลาดแอฟริกา อินเดีย และตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น ตลอดจนจะมุ่งเน้นผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และลดต้นทุนค่าใช้จ่าย
อนึ่ง ในไตรมาส 1/62 ปตท.มีกำไรสุทธิ 2.93 หมื่นล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.98 หมื่นล้านบาท โดยลดลง 10,476 ล้านบาท หรือ 26.3% สาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นปรับลดลงตามส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับน้ำมันดิบที่ปรับลดในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ยกเว้นน้ำมันเตา รวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่ลดลง
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ให้ปตท. ยุบเลิกกิจการบริษัทในเครือ หรือบริษัทลูกที่ดำเนินการไม่สอดคล้องกับภารกิจของรัฐวิสาหกิจ และมีผลขาดทุน ประมาณ 20-30 บริษัทนั้น ปตท.เห็นว่าการตัดสินใจทางธุรกิจของปตท. ขึ้นอยู่กับผลดำเนินงานและโอกาสทางธุรกิจ รวมทั้งความจำเป็นในการดำเนินงาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล โดยบริษัทที่เหลือส่วนใหญ่มีแนวโน้มธุรกิจที่ดีและมีกำไร โดยที่ผ่านมาปตท.ดำเนินการมา 40 ปี ก็มีการจัดตั้งบริษัทตามช่วงสถานการณ์และโอกาส แต่เมื่อดำเนินการไปแล้ว ไม่เหมาะสม หรือธุรกิจขาดทุน ก็ต้องพิจารณาปิดกิจการไปตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ปตท.ได้รายงานต่อคนร. เมื่อวานนี้ (15 พ.ค.) เรื่องการปิดบริษัทในเครือ 20-30 แห่ง จากทั้งหมดกว่า 200 แห่ง เนื่องจากบางบริษัทไม่สร้างผลกำไรและไม่สอดคล้องกับการดำเนินงานของ ปตท. เช่น บริษัทเกี่ยวข้องกับธุรกิจปาล์มในอินโดนีเซีย จากสถานการณ์ราคาปาล์มที่เปลี่ยนแปลงไป หลังจากยุโรปไม่ใช้ปาล์มแต่หันมาใช้พืชอื่นทดแทน จึงเป็นธุรกิจที่ไม่ตอบสนองนโยบายของ ปตท. โดนปัจจุบันปตท.มีบริษัทในเครือกว่า 200 แห่ง