นางสาวงามนภา ธวัชโชคทวี กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บลจ. วี เปิดเผยว่า หลังจาก บลจ.วี เปิดขายกองทุนเปิด WE-US6M ไปเมื่อวันที่ 30 เม.ย. – 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในต่างประเทศต่อเนื่อง รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มนักลงทุนที่กำลังมองหาจังหวะการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง บลจ.วี จึงเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) สำหรับกองทุนเปิด วีไชน่า 6M (WE-CHINA6M) ระหว่างวันที่ 27-29 พ.ค.2562 นับเป็นกองทุนที่ 4 จาก บลจ.วี ที่เปิดเสนอขาย IPO นับตั้งแต่ที่ได้รับการอนุมัติให้เริ่มประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทจัดการกองทุนรวม ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ด้วยทีมงานของ บลจ.วี ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านการลงทุนบริษัทจึงมีความเชื่อมั่นว่า กองทุน WE-CHINA6M จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างโอกาสการลงทุนและคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่อเนื่อง
นางสาวนิตยา เลิศแสงเพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์และช่องทางบริการ บลจ. วี กล่าวว่า เศรษฐกิจของจีนในปัจจุบันยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการที่รัฐบาลจีนได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ , การอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นการลงทุนในสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นการบริโภคในประเทศ , การพัฒนาระบบเครือข่าย 5G และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) รวมถึงการขยายการใช้เทคโนโลยีสู่เขตชนบทของประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนยังสามารถเติบโตต่อไปได้ ซึ่งสะท้อนได้จากตัวเลขการจ้างงาน , ตัวเลขการบริโภคในประเทศและการลงทุนต่าง ๆ ที่ส่งสัญญาณฟื้นตัว
ทั้งนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าซึ่งทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงมา และด้วยมุมมองที่ยังเป็นบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน บลจ.วี จึงได้ออกกองทุน WE-CHINA6M โดยกองทุนเน้นลงทุนในกองทุน ETF ที่มีนโยบายลงทุนในประเทศจีน ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มก่อสร้าง
กองทุน WE-CHINA6M ตั้งเป้าผลตอบแทน 6% ใน 6 เดือน โดยกองทุนจะเลิกกองทุนตามเป้าหมายเมื่อมีมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV)ผ่านระดับ 10.63 บาท ต่อหน่วยและ NAV ที่รับซื้อคืนขั้นต่ำ 10.60 บาทต่อหน่วย โดยบริษัทจะดำเนินการสับเปลี่ยนเข้ากองทุนเปิด วี มันนี่ มาร์เก็ต ภายใน 5 วันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันคำนวนราคารับซื้อคืนหน่วยอัตโนมัติ โดยมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนเปิด WE-CHINA6M จะคัดเลือกหน่วยลงทุนของกองทุน ETF ในจีนที่มีการเติบโตดี โดยพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) ประมาณ 60% จะทยอยลงทุนในกองทุน HANG SENG CHINA ENT IND ETF ที่ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในดัชนี H-SHARE ETF และ กองทุน TRACKER FUND OF HONGKONG ที่ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในดัชนี HANG SENG ETF
และพอร์ตเชิงรุก (Tactical Portfolio) ประมาณ 40% จะลงทุนในกองทุน ISHARE FTSE A50 CHINA ETF ที่ลงทุนในหุ้นที่จะทะเบียนในดัชนี A-Share ETF และอาจพิจารณาลงทุนในกองทุน ICBC CSOP S&P New China Sectors ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นเศรษฐกิจใหม่ของจีน (New China Economy Stocks) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น Tencent , Alibaba , Ping An Insurance โดยเน้นจับจังหวะลงทุนในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลงแต่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนเพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม
นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วี เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจจีนจะได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ เรื่องการเก็บภาษีสินค้านำเข้าตั้งแต่ปีที่ผ่านมา รวมถึงล่าสุด (10 พ.ค) สหรัฐฯได้เก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน
แต่อย่างไรก็ตาม บลจ.วี ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากมีมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาพื้นฐานของตลาดหุ้นจีนแล้วจะเห็นได้ว่า ดัชนีส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นจีน ยังคงคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (Earning Per Share) อยู่ในระดับที่ดี โดยดัชนีตลาด A-Share คาดการณ์ว่ายังเติบโตที่ระดับ 17.02% เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา (YoY) ขณะที่ดัชนีตลาด H-Share คาดว่าเติบโตที่ระดับ 5.59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) รวมไปถึงดัชนี Hang Seng คาดว่าจะชะลอลงเล็กน้อยที่ระดับ -0.90% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่คาดว่ายังเติบโตได้แบบมีเสถียรภาพใน 6 เดือนข้างหน้าและเป็นจังหวะที่เหมาะกับการลงทุน
นอกจากนี้ราคาพื้นฐานของตลาดหุ้นถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากราคาที่ปรับตัวลงมามากจากปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันดัชนี A-Share มีระดับ P/E อยู่ที่ 13.3 เท่า ส่วนดัชนี H-Share และ ดัชนี Hang Seng Index มีระดับ P/E อยู่ที่ 8.7 เท่าและ 10.8 เท่า ตามลำดับจึงเป็นจังหวะที่น่าลงทุน
"ดังนั้น ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ยังเติบโตได้ดีและด้วยจังหวะที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน WE-CHINA6M ที่ต้องการสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมายที่คาดหวังที่ 6% ในช่วง 6 เดือน จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นจีน"นายอิศรา กล่าว