TCC รุกนำเข้าถ่านหินคาดรายได้ปีแรกพันลบ.ก่อนเพิ่มกว่าเท่าตัวปี 52

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 5, 2008 14:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายชำนิ จันทร์ฉาย ประธานกรรมการ บมจ.ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น(TCC)กล่าวถึงการหันมาดำเนินธุรกิจนำเข้าถ่านหินในปีแรกน่าจะทำรายได้กว่า 1 พันล้านบาท และรายได้น่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 2.7-2.8 พันล้านบาทในปี 52 ตามปริมาณยอดขายที่สูงขึ้นเป็น 8-9 หมื่นตัน/เดือน ตามแนวโน้มความต้องการถ่านหินในประเทศ โดยตั้งงบลงทุนในธุรกิจถ่านหินในปีนี้ประมาณ 300 ล้านบาท 
นายชำนิ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทตัดสินใจหันมาดำเนินธุรกิจนำเข้าถ่านหินมาจำหน่าย จากที่เคยผลิตเครื่องปรับอากาศ โดยถ่านหินล็อตแรก 8 พันตันถูกส่งมาถึงประเทศไทยในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นการสร้างรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/51 ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้กว่า 200 ล้านบาท
"ส่วนรายได้จากแอร์ก็ยังรับรู้รายได้อยู่ แต่เมื่อมาคิดดูธุรกิจแอร์ค้าขายทั้งปีมีรายได้แค่ 200 ล้านบาท แต่ถ่านหินเฉพาะไตรมาสเดียวรายได้จะมากกว่า 200 ล้านบาทแล้ว ซึ่งแอร์เป็นอะไรที่ต้องแข่งขันเยอะ โดยเฉพาะของที่มาจากประเทศจีน ตอนนี้ไม่สนุกแล้ว"นายชำนิ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายชำนิ กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 51 ปริมาณการขายถ่านหินน่าจะอยู่ในระดับ 2 หมื่นตัน/ปี และจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นตัน/ปีในช่วงตั้งแต่ ก.ค.51 เป็นต้นไป ที่ราคาขาย 2,700 บาท/ตัน หรือมียอดขายเดือนละประมาณ 135 ล้านบาท เฉพาะช่วงครึ่งปีหลังน่าจะมีรายได้ราว 800-900 ล้านบาท ดังนั้นทั้งปีรายได้ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 1 พันล้านบาท
ส่วนในปี 52 คาดว่าจะมีปริมาณขายถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็นประมาณเกือบ 8-9 หมื่นตัน/เดือน ตามความต้องการถ่านหินที่เพิ่มขึ้นขณะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง โดยเป็นการคาดการณ์อย่าง Conservative หรือคิดเป็นประมาณ 9.6 แสนตัน/ปี ซึ่งจะจำหน่ายที่ราคาประมาณ 3,000 บาท/ตัน ทำรายได้รวมประมาณ 2,700-2,800 ล้านบาท/ปี
"เฉพาะถ่านหิน ตัวเลขที่ 8-9 หมื่นตันต่อเดือน ไม่ต้องเครียดมากและคิดว่าจะหาลูกค้าเฉพาะอ้อมน้อย มหาชัย ก่อนยังไม่อยากไปขายกลุ่มโรงปูน แต่ถ้าเป็นกลุ่มโรงปูนความต้องการใช้ถ่านหินเป็นล้านตัน แต่เราจะเอาเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร สิ่งทอ รองเท้า แถวๆ อ้อมน้อยก่อน"นายชำนิ กล่าว
*ทุ่ม 300 ลบ.ปีนี้พร้อมลงทุนธุรกิจถ่านหินเชื่อเดินถูกทาง-ต้นปีกำไร 2 เด้ง
นายชำนิ เชื่อว่า ผลประกอบการของ TCC ในปีนี้น่าจะพลิกสถานการณ์จากรายได้ธุรกิจนำเข้าถ่านหิน บริษัทจึงพร้อมที่จะลงทุนเต็มที่ โดยคาดว่าจะใช้เงินทุนประมาณ 300 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการขายที่ดินโรงงานผลิตแอร์มีอยู่ประมาณ 170-180 ล้านบาท และน่าจะได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์อีก 100 กว่าล้านบาท
"คิดว่าเงินก้อนนี้จะหมุน 3-4 รอบในปีนี้ได้สบายๆ เฉพาะสำหรับธุรกิจถ่านหิน คิดว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว จุดขายของเราคือรู้จักคนซื้อเยอะและได้แหล่งถ่านหินคุณภาพดีจากอินโดฯ"นายชำนิ กล่าว
สำหรับเงินลงทุนก้อนแรกได้นำไปใช้สั่งซื้อถ่านหินจากอินโดนีเซีย เข้ามาจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง โดยมีข้อตกลงกับเหมืองขนาดใหญ่ในอินโดนีเซียตั้งแต่เดือน พ.ย.-ธ.ค.50 เพื่อซื้อถ่านหินราว 2 หมื่นตัน ที่จะเริ่มทยอยนำเข้าตั้งแต่ต้นปี 51 ขณะที่ราคาถ่านหินในระยะนี้พุ่งสูงขึ้นมากจากปัญหาการตึงตัวของซัพพลายด์ในตลาดโลก ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์มากกว่าที่คาดไว้
"เรียกว่าได้กำไร 2 เด้ง คือซื้อได้ถูก ราคาขายก็ขึ้น และสินค้าที่ซื้อ 2 หมื่นกว่าตัน ก็ขายหมด โดยของจะทยอยเข้ามา โดยจะเข้ามา 8,000 ตันล็อตแรก จะถึงวันนี้ก็จะส่งลูกค้าเลย ทำให้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นปรับขึ้น"นายชำนิ กล่าว
นายชำนิ กล่าวว่า นโยบายที่สำคัญของบริษัทในการทำธุรกิจถ่านหิน จะต้องไม่เสี่ยงกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และไม่เสี่ยงกับราคาซื้อ-ขาย โดยบริษัทพยายามนำเข้าถ่านหินก้อนใหญ่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการฟุ้งกระจายระหว่างการขนส่ง และส่งมอบให้กับผู้รับเหมาช่วงในทันทีที่ส่งมาถึงไทย เพื่อนำไปทุบ-แยกในโรงปิด
"ผมก็บอกว่าถ้าจะกำไรน้อยลงนิดหน่อยไม่เป็นไรแต่อย่าให้มีปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้ผมไม่ต้องลงทุนซื้อที่ดินเพื่อมากอง ไม่ต้องลงทุนทำโรงทุบ ไม่ต้องจ้างคนงาน เมื่อเอามาจากอินโดฯมาแยก-ทุบ คัดที่ผู้รับเหมาเลยและจ่ายผลผลิตต่อให้ลูกค้า"นายชำนิ กล่าว
*วิเคราะห์ด่วนอนาคตธุกิจเหล็ก-ผลิตแอร์ คาดส่งบอร์ดตัดสินเดือนนี้
นายชำนิ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการตั้งทีมงานขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์เป็นการเร่งด่วนว่าจะจัดการอย่างไรกับธุรกิจเหล็กและธุรกิจผลิตเครื่องปรับอากาศ หากทำต่อไปจะต้องใส่เงินลงทุนเข้าไปเพิ่มมากน้อยเพียงใด และจะได้ผลตอบแทนต่อบริษัทอย่างไร รวมทั้ง หากหันมาทำธุรกิจถ่านหินอย่างเดียวจะมีผลอย่างไร คาดว่าหลังตรุษจีนทีมงานคงจะสามารถสรุปรายงานให้กับคณะกรรมการบริษัทได้รับทราบภายในเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นเห็นว่าธุรกิจเหล็กขณะนี้ก็อยู่ในเกณ์ที่ดี แต่คงต้องชั่งน้ำหนักและดูทางเลือกที่เหมาะสม หากมีเงินลงทุนจำกัดควรจะลงทุนด้านใดได้ประโยชน์กว่า ซึ่งขณะนี้ก็เห็นแล้วว่าทำธุรกิจถ่านหินทำกำไรได้ดี ขณะที่ธุรกิจเหล็กต้องลงทุนระดับพันล้านบาท จึงมีความเป็นไปได้ที่ TCC อาจย้ายออกจากหมวดอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง แต่คงต้องทำรายได้จากถ่านหินให้เห็นชัดเจนว่าเป็นรายได้หลักจริง ๆ
ส่วนรายได้จากแอร์ก็ยังรับรู้รายได้อยู่
"จะเห็นว่าเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาประเทศจีนขึ้น export หุ้นที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินปรับขึ้นทั้งหมดทั้ง UMS LANNA BANPU ขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจเอง ซึ่งนักลงทุนก็เก็งกำไรกัน หุ้น TCC ก็เช่นกัน"นายชำนิ กล่าวถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างมากในระยะนี้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ