บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) วางทิศทางธุรกิจใหม่หลังคืนทีวิดิจิทัล 2 ช่อง โดยเร่งสร้างรายได้จากธุรกิจทีวีและออนไลน์ คาดว่าแผนปรับโครงสร้างธุรกิจคลอดไตรมาส 2/62 เริ่มดำเนินงานในไตรมาส 3/62 และเห็นผลใน 3-4 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ในแต่ละธุรกิจนอกเหนือทีวีให้มีสัดส่วนรายได้มากกว่า 10% จากปัจจุบันอิงรายได้ทีวีเป็นหลักถึง 85% วางเป้าต้นปี 63 กลับมาทำกำไรพร้อมดันช่อง 3 กลับขึ้นเบอร์หนึ่ง
นายอริยะ พนมยงค์ กรมการผู้อำนวยการ BEC ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ว่า ได้เข้ามาปรับโครงสร้างธุรกิจที่เดิมเน้นหนักรายได้ของธุรกิจทีวีมากกว่า 85% ให้กระจายไปยังธุรกิจอื่น โดยจะผลักดันทั้ง 6 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1) ทีวีพลัส ซึ่งจะรวมทั้งช่อง 3 (ช่อง 33HD) และธุรกิจออนไลน์ โดยในระยะสั้นหรือในช่วง 1 ปีจากนี้จะเร่งสร้างรายได้ทั้งการแพร่ภาพผ่านช่องทีวีปกติและข่องทางออนไลน์ เพื่อขยายฐานผู้ชมออนไลน์และออฟไลน์
ปัจจุบัน ช่อง 3 มีฐานผู้ชมออนไลน์จำนวน 6 พันล้านวิว/ปี และมีเรทติ้งอันดับ 2 โดยช่องทางออฟไลน์สร้างรายได้จากทีวี และการจัดกิจกรรมช่วยยอดขายสินค้าต่างๆ ส่วนช่องทางออนไลน์ ผ่าน Mello, YouTube, LineTV
2)ช่องทางการจำหน่าย (Distribution) ได้แก่ ขายคอนเท้นท์ หรือละครไปยังต่างประเทศ หรือ OTT ระดับ Global ซึ่งจะเป็นช่องทางสำคัญของบริษัทต่อไปในอนาคต
3)ทรัพย์สินทางปัญญา (IP)
4) ศิลปิน ที่มาจากตัวละครที่ได้รับความนิยมก็สามารถใช้เป็นช่องทางทำรายได้ โดยเฉพาะการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า
5) Content หลักๆของช่อง3 คือละคร หรือคิดเป็นสัดส่วนเกินกว่า 80% รองลงมาเป็นข่าว ที่เคยทำได้ดี โดย. รวม 2 รายการมีสัดส่วนมากกว่า 90% โดยจะนำมาทำรายได้ให้มากขึ้น
และ 6) เทคโนโลยี ที่จะเป็นการสร้าง Platform Entertainment ซึ่งส่วนนี้จะใช้เวลา
นายอริยะ กล่าวว่า ในแต่ละธุรกิจยกเว้นทีวีนั้น บริษัทตั้งเป้าทำรายได้ให้มีสัดส่วนราว 10% จากปัจจุบันพึ่งพิงแต่รายได้ทีวีกว่า 85% ส่วนรายได้ออนไลน์มีเพียง 5% ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ ส่วนช่องทางขายต่างประเทศก็ยังน้อย
"ภายในปีนี้หรือต้นปีหน้ารายได้ที่มิไม่ได้มาจากTV อย่างเดียว เพื่อกระจายความเสี่ยง ทุกช่องทางควรจะกระจายไป 10% ของรายได้ที่เราได้ ภาพที่กลับมาก็ต้องกลับมาดำ (มีกำไร) อันนี้เป็นความคาดหวังและความกดดัน"นายอริยะ กล่าว
สำหรับแผนปรับโครงสร้างธุรกิจของ BEC จะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/62 และเริ่มดำเนินการในไตรมาส 3/62 คาดว่าจะหยุดขาดทุนในปีนี้และเริ่มทำไรในต้นปีหน้า ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถ Transform ธุรกิจให้เห็นผลอย่างชัดเจนภายใน 3-4 ปีข้างหน้า
นายอริยะ กล่าวถึงการตัดสินใจคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 2 ช่องคือช่อง 13Family และช่อง 28 SD ว่า แม้ว่าช่อง 28SD มีเรทติ้งอันดับ 7 แต่เห็นว่าผู้เล่นที่มีเรทติ้ง TOP 10 กินส่วนแบ่งตลาดผู้ชมไปถึง 85% ดังนั้น สภาพการแข่งขันสูงก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการได้รับการข่วยเหลือค่าใบอนุญาต 2 ปีสุดท้ายทำให้ช่องทีวีสามารถลงทุนได้เพิ่มขึ้น จึงเห็นว่าการแข่งขันน่าจะดุเดือดมากขึ้น และ 2 ช่องดังกล่าวก็ยังประสบผลขาดทุน
ดังนั้น การคืน 2 ช่องทีวีดิจิทัลแล้วหันมาโฟกัสช่อง 33HD ก็จะทำให้ช่อง 33HD เข้มแข็งกว่าเดิม ทั้งจากการสร้างรายการใหม่ และพิจารณานำรายการดีดีที่เคยออกอากาศช่อง 28SD และ ช่อง13 Family มาไว้ที่ช่อง 33HD โดยจะมีการปรับผังรายการให้มีความเหมาะสม
"อยากจะเห็น Trend ที่ดีภายในต้นปีหน้า หยุดขาดทุน อย่างน้อยเห็นโมเมมตัม ผมอยากเป็นที่หนึ่ง ไม่ใช่แค่ TV เราจะสร้างPositioning ของเรา....อยากให้ BEC กลับมายิ่งใหญ่ เป็นโจทย์ที่สนุก เราอยากทำ"นายอิรยะ กล่าว
นายอริยะ ยังกล่าวว่า การคืนช่องทีวีดิจิทัล 2 ช่องจะต้องส่งงบการเงินประกอบคำขอภายใน 60 วัน หรือภายใน 10 ก.ค. และคาดว่าจะได้รับเงินเยียวยาไม่เกิน 1 พันล้านบาทหลังจากหยุดออกอากาศในอีก 4 เดือนหรือประมาณเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปและส่งผลดีต่อกำไร
ทั้งนี้ BEC ยังมีจุดแข็ง ทั้งละคร และศิลปิน โดยจากข้อมูลพบว่ากลุ่มเป้าหมายของช่อง 3 มี 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ชมผ่านทีวี และ 73% ของผู้ชมเป็นกลุ่มคนอายุ 35 ปีขึ้นไป ส่วนกลุ่มที่ชมผ่านออนไลน์ 70-80% เป็นกลุ่มคนอายุ 34 ปีลงมา โดยกลุ่มคนอายุ 35 ปีขึ้นไปใช้อินเตอร์เน็ต 60% ส่วนกลุ่มคนอายุ 34 ปีลงไปใช้อินเตอร์เน็ต 90% และใน 1 สัปดาห์ชมผ่านทีวี ซึ่งใช้ทั้ง 2 จอ ดังนั้นฐานโลกออนไลน์ช่อง 3 จึงค่อนข้างใหญ่มาก