นายกันต์ อรรฆย์วรวิทย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ชูไก เปิดเผยว่า หุ้น ชูไก จะเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 13 ก.พ.บริษัทฯเชื่อมั่นว่าราคาหุ้นจะต้องยืนได้เเหนือราคาที่เสนอขายครั้งแรกให้ประชาชนทั่วไป(IPO)ที่ 2.80 บาท/หุ้น เพราะบริษัทมีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีจุดที่น่าสนใจจากค่า P/E ของราคา IPO อยู่แค่ 10 เท่า ต่ำกว่าค่า P/E ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 12 เท่า และราคาขาย IPO สูงกว่ามูลค่าทางบัญชี(book value)ของชูไกในปัจจุบัน 2.02 บาทไม่มาก
นอกจากนี้ นักลงทุนที่เข้าลงทุนในหุ้น ชูไก ยังมีโอกาสที่จะได้รับเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2550 อีกด้วย โดยบริษัทฯมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว โดยปีนี้จะถือเป็นปีแรกที่ได้มีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งบริษัทฯคาดว่าจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯได้ในช่วงเดือนเมษายน 2551
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชูไก กล่าวว่า ภายหลังจากขายหุ้น IPO จำนวน 100 ล้านหุ้นแล้ว ในราคาหุ้นละ 2.80 บาท บริษัทฯก็จะได้เงินทุนมาจำนวน 280 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะนำเงิน 185 ล้านบาทไปชำระหนี้ระยะยาว ให้แก่ธนาคารไทยธนาคาร จำนวน 140 ล้านบาท และชำระหนี้ให้แก่ บง.บีฟิท อีก 45 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ลดลงเหลือ 0.66 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.19 เท่า ส่วนเงินที่เหลืออีก 95 ล้านบาทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 51 บริษัทตั้งเป้ารักษาการเติบโตของรายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 9% ซึ่งเป็นตัวเลขอ้างอิงจากการเติบโตของรายได้รวม 9 เดือนแรกของปี 50 ซึ่งเป็นการเติบโตของรายได้ค่าเช่า 8% และรายได้จากการขายเครื่องจักรเติบโต 16% ทั้งนี้บริษัทฯคงจะไม่เน้นการเติบโตในส่วนของยอดขายให้เพิ่มขึ้นมาก เพราะการเติบโตจะเป็นไปตามภาพรวมอุตสาหกรรมเป็นหลัก
แต่บริษัทฯก็จะหันมาเน้นการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้น(gross margin) โดยปี 51 บริษัทฯตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมไม่ต่ำกว่า 42% อ้างอิงจากอัตรากำไรขั้นต้นของ 9 เดือนแรกของปี 50 แบ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นในส่วนของการเช่า 29% และอัตรากำไรขั้นต้นในส่วนของการขาย 64% โดยสัดส่วนรายได้จากการเช่าและการขายคิดเป็น 62:38
นายกันต์ กล่าวอีกว่า ในปี 51 บริษัทฯจะเน้นการขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยในส่วนของการให้เช่าจะเน้นขยายตลาดในแถบประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว, เวียดนาม เป็นต้น ส่วนของการขายเครื่องจักร คาดว่าจะขยายฐานลูกค้าไปที่แถบแอฟริกา อย่างเช่น ไนจีเรีย และยังจะเข้าไปที่ตะวันออกกลางด้วย
ทั้งนี้ การนำเข้าเครื่องจักรของบริษัทยังคงเน้นที่จะนำเข้ามาจากญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งขณะนี้บริษัทฯกำลังจะนำเข้าเครื่องจักรจากญี่ปุ่นเพิ่มอีก 2 ตัว มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท คาดจะนำเข้ามาได้ไม่เกินไตรมาส 2/51
อนึ่ง ชูไก ประกอบธุรกิจหลักให้บริการเคลื่อนย้ายวัสดุหรืออุปกรณ์โดยรถเครน รถยกตู้คอนเทนเนอร์ เป็นต้น เพื่อการก่อสร้าง การยก ประกอบและติดตั้ง รวมถึงให้บริการขนส่งและขนย้าย ด้วยรถหัวลาก หางเทรลเลอร์ และรถบรรทุกประเภทต่างๆ รวมทั้งจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักใช้แล้วและอะไหล่ต่างๆ และ ให้บริการซ่อมแซมเครื่องจักรกลหนัก
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--