นายกีซ่า เอมิล เพอราคี ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.สุธากัญจน์ (SUTHA) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/62 คาดว่าจะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่เริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการบริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/61 เข้ามาเต็มปีในปีนี้ อีกทั้งบริษัทยังมีการขยายตลาดต่างประเทศไปยังไต้หวันและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็น 2 ประเทศใหม่ที่เพิ่มเข้ามา โดยที่บริษัทยังคงเน้นการส่งออกในตลาดเอเชียเป็นหลัก
นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าเหล็กที่ใช้ปูนขาวของบริษัทเป็นส่วนผสมในการผลิตเริ่มกลับมาสั่งออร์เดอร์ในช่วงไตรมาส 2/62 มากขึ้น หลังจากชะลอการสั่งซื้อไปในช่วงไตรมาส 1/62 ซึ่งเป็นผลมาจากลูกค้าเหล็กประสบปัญหาทางเทคนิค ทำให้เกิดอุบัติเหตุในการผลิต และทำให้ชะลอการผลิตออกไป แต่สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มกลับมาปกติแล้วในช่วงไตรมาส 2/62 ทำให้มีออร์เดอร์จากลูกค้าเหล็กกลับเข้ามา อีกทั้งยังมีลูกค้าในกลุ่มน้ำตาลที่มีการสั่งออร์เดอร์ปูนขาวเข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน ในช่วงไตรมาส 3/62 บริษัทคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของผลการดำเนินงานอย่างโดดเด่น โดยมีปัจจัยหนุนมาจากแนวโน้มของปริมาณการขายปูนขาวให้ลูกค้ากลุ่มเหล็กที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งบริษัทจะขายผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงต้นไตรมาส 3/62 ที่มีราคาต่อตันสูง จากปัจจุบันราคาขายปูนขาวต่อตันเฉลี่ยอยู่ที่ 71 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
พร้อมกับการรุกตลาดเข้าไปในประเทศจีนตอนใต้ โดยเฉพาะในเมืองกวางตุ้ง คาดว่าจะมีลูกค้าในจีนออร์เดอร์ปูนขาวไปใช้เป็นส่วนผสมเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งตลาดในจีนถือเป็นโอกาสของบริษัทในการเจาะตลาดเข้าไปในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลจีนได้มีการปิดโรงงานที่ไม่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อมไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงงานผลิตปูนขาวในจีน ทำให้ปัจจุบันซัพพลายปูนขาวในจีนลดน้อยลงไปมาก และมีความต้องการใช้ปูนขาวเป็นส่วนผสมที่สูง ทำให้เป็นโอกาสของบริษัทในการเข้าไปขยายตลาดในจีน โดยที่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไปต่างประเทศยังอยู่ที่ 10% และมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากในประเทศมากที่สุด 90%
สำหรับภาพรวมรายได้ของบริษัทในปีนี้มองว่ายังมีโอกาสเติบโตขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน จากการสามารถรับรู้รายได้เต็มปีจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด และมีการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ให้ราคาดี รวมไปถึงการขยายตลาดใหม่ ๆ ใน 3 ประเทศ ที่เข้ามาเสริม ส่วนในแง่ของกำลังการผลิตที่บริษัทมีอยู่ 450,000 ตัน/ปี บริษัทจะพยายามเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 85% จากปัจจุบันใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 75-85% เพื่อทำให้บริษัทสามารถใช้กำลังการผลิตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น