โกลเบล็ก มอง SET ขานรับโหวตเลือกนายกฯวันนี้ แต่ศก.สหรัฐส่อแววอ่อนแอ-สงครามการค้ายืดเยื้อ ให้กรอบ 1,605-1,650 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 5, 2019 11:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อขานรับกระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขดัชนี CPI ในเดือน พ.ค. ขยายตัว 1.15% และ CORE CPI ขยายตัว 0.54% บ่งชี้อัตราเงินเฟ้อไม่ร้อนแรงสนับสนุนคาดการณ์การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการมีรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มเป็นไปตามโรดแมพที่วางไว้ ซึ่งในวันนี้ (5 มิ.ย.) จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และล่าสุดทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระดมสมองคิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะต่อไป เพื่อนำเสนอรัฐบาลใหม่พิจารณา เร่งฟื้นการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง

ส่วนปัจจัยลบที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังมีอยู่ต่อเนื่องมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐส่อแววอ่อนแอหลังมีรายงานว่าในเดือนพ.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐลดลงสู่ระดับ 50.5 ต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี ประกอบกับดัชนีภาคการผลิตลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง บ่งชี้ถึงแนวโน้มการขยายตัวของภาคการผลิตไม่มากนัก โดยคาดว่าสงครามการค้ามีแนวโน้มยืดเยื้อ และบานปลาย ซึ่งนักวิเคราะห์เจพีมอร์แกน-มอร์แกน สแตนลีย์ประเมินว่าไม่มีแนวโน้มที่สหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าในการประชุม G20 ที่ญี่ปุ่นในเดือนนี้ ขณะที่สหรัฐขู่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 5% จากเม็กซิโกมีผลในวันที่ 10 มิ.ย. และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงระดับ 25% ในวันที่ 1 ต.ค. เพื่อกดดันให้รัฐบาลเม็กซิโกสกัดกั้นผู้อพยพผิดกฏหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ

ด้านราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่องส่งผลลบเชิงจิตวิทยาหุ้นกลุ่มพลังงาน แม้มาตรการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ยังมีผลบังคับใช้จากความกังวลสงครามการค้ามีผลต่ออุปสงค์การใช้น้ำมัน

ทั้งนี้ ยังคงต้องจับตาในวันที่ 5 มิ.ย. จะมีการประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ส่วนจีน เปิดเผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ค. และสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผย ดัชนี PMI ภาคบริการ ดัชนีราคาผู้ผลิต และ ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย. รวมทั้งสหรัฐ เปิดเผย ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี PMI ภาคบริการ ดัชนีภาคบริการ สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ส่วนวันที่ 5-7 มิ.ย. ทางประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" ของจีน เตรียมเยือนรัสเซีย ตามคำเชิญของนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และในวันที่ 6 มิ.ย. อียู เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 1/2562 (ประมาณการครั้งที่ 3) รวมทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ส่วนสหรัฐ เปิดเผย จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนเม.ย. และผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยไตรมาส 1/2562

ด้านนายสรรพกัณฑ์ ปัมทบริสุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทย มีโอกาสเดินหน้าเนื่องจากมีความชัดเจนหลังเลือกนายกฯและความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล คาดดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,605-1,650 จุด ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL และ MAKRO กลุ่มท่องเที่ยว อาทิ AOT, ERW, SPA กลุ่มโรงพยาบาล เช่น BCH และหุ้นที่จะเข้าคำนวณดัชนี FTSE มีผล 21 มิ.ย. ได้แก่ OSP, NER และ PR9

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ เห็นว่าจากกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มีคำสั่งพิเศษ สามารถขึ้นภาษีหรือระงับการทำธุรกรรมกับบริษัทหรือประเทศได้ทันที และยังบีบบังคับให้ธุรกิจและประเทศต่าง ๆ ร่วมแบนตามไปด้วยในฐานะพันธมิตรที่ดีของสหรัฐฯ ซึ่งจะถูกลงโทษจากสหรัฐฯในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เหตุข้างต้นได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับสถานการณ์สงครามการค้าโลกในปัจจุบันและอนาคต เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ มักออกเงื่อนไขแบบฉับพลันและคาดเดาไม่ได้ แต่กลับก่อให้เกิดความยุ่งยากในภาคการผลิตและการค้า วงจรของห่วงโซ่อุปทานโลกจึงเกิดความเสี่ยงขึ้นอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนผลกระทบจากสงครามการค้าที่ก่อขึ้นโดยสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ได้ขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ เริ่มมีความกังวลและตั้งคำถามขึ้นมาแล้วว่า โลกกำลังจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่

อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับคำพูดกับเม็กซิโก ทั้งที่เพิ่งปิด ดีลการค้าไปเมื่อกลางเดือน พ.ค. แต่พอสิ้นเดือนก็ประกาศเก็บภาษีนำเข้า 5% และขู่ว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงให้เม็กซิโกเข้าสู่การเจรจาเงื่อนไขใหม่อีกครั้ง ทำให้จากเดิมที่สงครามการค้าควรจะจบลงบนโต๊ะเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ได้รับผลกระทบมาก กลายมาเป็นสงครามการค้าที่ไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าสหรัฐฯจะได้ทุกอย่างที่ต้องการและพึงพอใจ สินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจึงตอบสนองทันที ราคาน้ำมันและถ่านหินดิ่งลง ราคาถั่วเหลืองมีแนวโน้มจะปรับลงต่อ สวนทางกับราคาทองคำที่พุ่งทะยานขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งสะท้อนความกลัวเป็นอย่างมากของนักลงทุน

สำหรับมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำดีดตัวขึ้นแรงจนสามารถทะลุระดับ 1,300 ดอลลาร์ ขึ้นมาได้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้รูปแบบการรีบาวด์มีโอกาสโค้งเป็นรูปถ้วย ระยะสั้นถ้ายืนบน 1,310 ดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง จะทำให้ราคาแกว่งขึ้นไปทดสอบบริเวณสูงสุดเดิมที่ 1,345-1,350 ดอลลาร์ได้ แนะนำให้เข้าซื้อเก็งกำไรเมื่ออ่อนตัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ