นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) เปิดแผนดำเนินงานงวดปี 62/63 (เม.ย.62-มี.ค.63) ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% โดยนำกลยุทธ์หลักคือ "The New S-Curve" มาใช้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX การลงทุนขยายโรงงานผลิตในประเทศไทยคาดว่าจะแล้วเสร็จราวไตรมาสที่ 3 ปี 62/63 โดยจะทยอยเพิ่มกำลังการผลิตในเฟสแรก 2,000 ตัน/ปี
บริษัทคาดอัตรากำไรสุทธิปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10% สูงกว่าปีก่อนที่ 8.38% โดยในปีนี้จะไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหมือนปีก่อนคือ การบันทึกสำรองผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายแรงงานใหม่ และการตั้งสำรองของโครงการประกันสังคม สำหรับโรครุนแรง นอกจากนี้บริษัทยังเน้นการบริหารจัดการต้นทุน ปรับราคาขายสินค้าขึ้น รวมไปถึงต้นทุนด้านวัตถุดิบกลับเข้าสู่ภ่วะปกติด้วย
"งวดปีที่ผ่านมาเรามีผลกระทบจากเงินส่วนแบ่งของบริษัทร่วมทุนที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนก็ปรับตัวสูงขึ้นถึงกว่า 20% แต่งวดปีนี้เราต้นทุนวัตถุดิบกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว และเรายังมีการดำเนินการด้านต่างๆซึ่งจะช่วยให้การทำกำไรของเรากลับมาดีขึ้น"นายภวัฒน์ กล่าว
การดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทจะเร่งให้เกิด Synergy ของกลุ่มธุรกิจทั้งหมดของ AEROKLAS โดยใช้ฐานลูกค้าและการให้บริการครบวงจร ซึ่งจะมีโอกาสในการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ใช้วิธีการตั้งราคาขายสินค้าที่เหมาะสม ลดต้นทุนการผลิตสินค้าและการประกอบสินค้าบางอย่างในประเทศออสเตรเลีย โดยย้ายมาใช้ฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งโรงงานใหม่ของ AEROKLAS คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ประมาณไตรมาสที่ 3 ปี 62/63 และจะดำเนินการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้ดียิ่งขึ้น
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP ในปีนี้จะทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการสินค้ามาตรฐานสูง ซึ่ง EPP ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล อีกทั้งจะขยายตลาดไปสู่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ EPP สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบประเภท Bio plastic ได้เนื่องจากมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรการผลิตโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม รวมถึงบริษัทมีแผนที่จะลงทุนขยายไลน์การผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษเพื่อสามารถให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้วางไว้ราว 300 ล้านบาท เพื่อที่จะใช้ในลงทุนระบบออโตเมชั่นของ AEROFLEX ราว 100 ล้านบาท การพัฒนาสายการผลิตทั้งในและต่างประเทศ AEROKLAS มูลค่าราว 150 ล้านบาท และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในกลุ่มธุรกิจ EPP มูลค่าราว 50 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 300 ล้านบาท เพื่อที่จะใช้ในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และ ร่วมลงทุน (JV) โดยปัจจุบันมีการเจรจาทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหรรมยานยนต์ แต่ยังต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาและพิจารณาก่อนที่จะสรุปและจะมีการแจ้งอีกครั้งหากได้ความชัดเจน