นายฉัฐภูมิ ขันติวิริยะ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)คาดว่า ปี 51 จะทำรายได้แตะ 5.5 พันล้านบาท เติบโต 20-25% จากปี 50 ซึ่งจะมาจากการขยายสาขาและโรงภาพยนตร์ที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งปีนี้คาดว่าจะมีหนังที่น่าสนใจและฟอร์มยักษ์เข้าโรงฉายหลายเรื่อง รวมถึงเม็ดเงินการโฆษณาโรงภาพยนตร์ยังมีคงระดับการเติบโตที่สูงมาก
สำหรับภาพยนตร์ที่รอเข้าฉายในปีนี้ ได้แก่ หนังภาคต่อของ แฮร์รี่ พอร์ตเตอร์, ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , อินเดียน่าโจนส์ , เจมส์บอนด์ และ องค์บาก 2 รวมทั้งภาพยนตร์ระดับชิงรางวัลออสการ์ อย่าง Atonement เป็นต้น
นายฉัฐภูมิ กล่าวว่า บริษัทมีแผนงานลงทุนในปี 51 ประมาณ 700-800 ล้านบาทในการขยายสาขาโรงภาพยนตร์และเลนโบวลิ่ง โดยโครงการหลักในปีนี้คือ เมเจอร์ รัตนาธิเบศน์ ซึ่งเป็นสาขาในรูปแบบ standalone และ เมเจอร์ อะเวนิว ที่รัชโยธิน ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่า 2-3 เดือนจะแล้วเสร็จและเปิดให้จองพื้นที่เช่าได้
"ปีนี้งบการเงินของบริษัทน่าจะออกมาสวย เพราะเราไม่ต้องบันทึกหนี้สินของเอ็มพิคเจอร์ที่มี 200 ล้านบาท แม้ว่ารายได้ในส่วนเอ็มพิคเจอร์จะหายไปด้วย แต่เราก็จะบันทึกกำไรมาแทนที่ รวมทั้งหลังการควบรวมฯ MAJOR จะรับรู้รายได้จากรายการพิเศษนี้ด้วยตามสัดส่วนการถือหุ้นในเอ็มพิคเจอร์ประมาณ 60%" นายฉัฐภูมิ กล่าว
ส่วนการขยายขนาดกองทุนอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์จากที่มีขนาด 2 พันกว่าล้านบาทในปัจจุบัน คาดว่าอย่างเร็วจะเริ่มขายหน่วยลงทุนได้ในช่วงปลายปี 51 หรือต้นปี 52 เนื่องจากบริษัทต้องเข้าสู่กระบวนการตีมูลค่าสินทรัพย์ของเมเจอร์ อะเวนิว รัชโยธิน และ เมเจอร์ รังสิต เนื่องจากทางบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ผู้จัดการกองทุน เห็นว่าควรจะให้เมเจอร์ อะเวนิว รัชโยธินแล้วเสร็จก่อน และมีผู้จองพื้นที่เต็มก่อนเพื่อสร้างรายได้ที่แน่นอนให้กับกองทุน
"เรายังคงแผนการขยายกองทุนฯ เมเจอร์มากกว่าการตั้งกองทุนใหม่ เพราะการตั้งกองทุนเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่อาจจะล่าช้าไปบ้าง เพราะเงื่อนไขของกองทุนต้องการเห็นรายได้ที่ชัดเจนก่อนนำเข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทุน"นายฉัฐภูมิ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--