บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบัน ของบมจ.แสนสิริ (SIRI) ที่ระดับ "BBB+" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนกรกฎาคมและตุลาคม 2562 และจะใช้ในการดำเนินงาน
อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้สะท้อนถึงการที่บริษัทมีสินค้าที่หลากหลาย มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในตลาดบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม รวมถึงมีสัดส่วนของรายได้จากค่าบริหารธุรกิจและส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าที่มากขึ้น นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนในระดับสูงของบริษัทด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนผลกระทบจากเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในระยะสั้น
ยอดขายของบริษัทขึ้นสู่จุดสูงสุดที่ระดับ 48,344 ล้านบาทในปี 2561 โดยยอดขายคอนโดมิเนียมคิดเป็น 60%-65% ของยอดขายรวมของบริษัทในช่วงปี 2559-2561 ในขณะที่ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 6,628 ล้านบาท บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมลดลงเหลือ 26,674 ล้านบาทในปี 2561 จาก 31,291 ล้านบาทในปี 2560 และ 34,131 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ 28,000 ล้านบาทในปี 2562 และมากกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไปเนื่องจากบริษัทจะเปิดโครงการของบริษัทเองมากขึ้น
ณ เดือนมีนาคม 2562 บริษัทมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม 38 โครงการ (รวมโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้า 15 โครงการ) และโครงการบ้านจัดสรร 58 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าเหลือขายรวม 78,000 ล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็น 54% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นโครงการบ้านจัดสรร บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้คิดเป็นมูลค่า 53,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการของบริษัทเองจำนวน 30,000 ล้านบาทและเป็นของกิจการร่วมค้าจำนวน 23,000 ล้านบาท บริษัทจะส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้ของบริษัทจำนวน 7,300 ล้านบาทในปี 2562 จำนวน 7,200 ล้านบาทในปี 2563 จำนวน 11,000 ล้านบาทในปี 2564 และจำนวน 4,800 ล้านบาทในปี 2565
สำหรับยอดขายรอการรับรู้รายได้ของกิจการร่วมค้านั้นบริษัทมีแผนจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงปี 2562-2565 ด้วยเช่นกัน โดยยอดขายรอการรับรู้รายได้ภายใต้กิจการร่วมค้าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้จากการบริหารโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้กิจการร่วมค้าในช่วง 4 ปีข้างหน้า
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 11%-13% ในช่วงปี 2560 จนถึง 3 เดือนแรกของปี 2562 จาก 15% ในปี 2559 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6%-8% ในช่วงปี 2560 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2562 จาก 9%-11% ในช่วงปี 2556-2559 ในอนาคต ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่และจากอัตรากำไรที่ต่ำจากการบริหารธุรกิจภายใต้กิจการร่วมค้า อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิของบริษัทก็น่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 10% และ 7% ตามลำดับในช่วงปี 2562-2564 ทั้งนี้ สัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นจากโครงการภายใต้กิจการร่วมค้าจะช่วยทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรของบริษัทดีขึ้นในช่วงปี 2563-2564
ทริสเรทติ้งมองว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วงปี 2562-2564 โดยสมมติฐานพื้นฐานของ
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะพุ่งขึ้นสูงในปี 2562 แต่จะปรับดีขึ้นหลังจากปี 2562 ไปแล้วเนื่องจากบริษัทจะมีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมทั้งของบริษัทเองและของกิจการร่วมค้ามากขึ้นในช่วงปี 2563-2564 แม้ว่าการร่วมทุนกับพันธมิตรจะช่วยบรรเทาความต้องการเงินทุนลงไปได้บางส่วน แต่บริษัทก็ยังคงต้องการแหล่งเงินทุนจำนวนมากเพื่อการขยายธุรกิจให้เติบโตตามแผน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่า 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าเพื่อคงอันดับเครดิตไว้ที่ระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ที่ระดับ 5%-10% ด้วย
สภาพคล่องของบริษัทตึงตัวแต่น่าจะสามารถบริหารจัดการได้ ณ เดือนมีนาคม 2562 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 7,063 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 2,500 ล้านบาทอีกด้วย บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 15,656 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น 8,166 ล้านบาท หุ้นกู้ 3,999 ล้านบาท และเงินกู้โครงการ 3,491 ล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงคาดว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผน อีกทั้งจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิเอาไว้ได้ที่ระดับปัจจุบันในช่วงปี 2562-2564 และแม้ว่าจะมีการขยายธุรกิจเชิงรุก แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่า 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้ ทั้งนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ที่ระดับ 5%-10% เอาไว้ให้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง