"อนุทิน"ยันมีมารยาทไม่ก้าวล่วงงานก่อนรับตำแหน่งในรัฐบาล ระบุ"อย่ามโน"กรณี BEM ชี้คู่สัมปทานภาครัฐต้องยึดคำสั่งศาล

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 13, 2019 10:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นพรรคที่จะเข้ามาดูแลงานกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยมีมารยาทเพียงพอที่จะไม่ก้าวล่วงงานของกระทรวงก่อนได้รับโปรดเกล้าฯเข้ารับตำแหน่ง และขอ"อย่ามโน"กรณีข่าวที่เกี่ยวข้องกับบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) หลังวันนี้มีหนังสือพิมพ์รายงานว่าหากได้ดูแลงานกระทรวงคมนาคมจะไม่ต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนกับ BEM เพื่อแลกกับการยุติข้อพิพาทกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) พร้อมย้ำการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสัมปทานภาครัฐ จะต้องยึดตามคำสั่งศาล

"ผมตอบสั้น ๆ อย่ามโน ใครเขาจะไปทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้นได้เหรอครับ การแต่งตั้งอะไรยังไม่เกิดยึ้น การพูดคุยเป็นการเจรจาหารือกันระหว่างพรรคการเมืองที่จะร่วมรัฐบาลกัน ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น พวกผมก็ต้องรู้มารยาทว่า ต่อให้มีการ firm กันแล้ว วันที่เราจะเข้าไปทำงาน คือวันที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นทางการ ท่านนายกรัฐมนตรีสั่งการเข้าไป ไปถวายสัตย์ปฎิญาณก่อน...ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยไม่มีใครใหญ่กว่าผมแล้วในฐานะหัวหน้าพรรค ถ้าใครไปทำแบบนั้นจริง ก็เหมือนกับเขาเขียนใบลาออก ผมไม่มีทางส่งคนประเภทนี้ พรรณนี้เข้าไปทำงานบริหารบ้านเมืองแน่นอน และผมก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ด้วย"นายอนุทิน กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์เมื่อช่วงเช้า

อนึ่ง เมื่อวานนี้หุ้น BEM ร่วงลง 5% หรือลดลง 0.60 บาท มาที่ 11.40 บาท ขณะที่หนังสือพิมพ์รายงานเช้านี้ว่า มีกระแสข่าวสะพัดกว่านายอนุทิน ได้เปิดเผยกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งว่า หากได้รับการแต่งตั้งเป็นรมว.คมนาคม จะไม่ต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนอีก 30 ปี กับ BEM ประกอบกับมีข่าวประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กทพ. โดนปลด และรักษาการประธานสหภาพฯ คนใหม่ มีท่าทีชัดเจนว่าต้องการให้ผู้บริหารกทพ.ทบทวนเรื่องการขยายสัมปทานให้ BEM

นายอนุทิน ยืนยันว่าไม่มีเหตุผลที่จะทำเรื่องดังกล่าว อะไรที่เป็นสัญญา อย่างกรณีของ BEM ที่ติดตามข่าวก็พบว่ามีคำพิพากษาของศาลออกมา ก็ต้องทำตามเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่จะเข้ามาลงทุนหรือเป็นคู่สัญญาของรัฐ อย่างกรณีข่าวที่ออกมาเพราะมีทีมนักลงทุน กองทุนต่าง ๆ เชิญตนไปบรรยาย ซึ่งก็ได้ชี้แจงว่าภาครัฐต้องระวัง อย่างกรณีคดีการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน แม้จะมีการชนะในศาลอาญา แต่ก็ไปแพ้ในศาลปกครอง ดังนั้น หากอยู่ในยุคที่ตนเองเข้ามาดำเนินงานจากนี้ไปหากมีกรณีข้อพิพาทกับคู่สัญญาของรัฐจะต้องมีคำสั่งศาลเท่านั้น ห้ามใช้ดุลยพินิจ

"มี investor fund manager เชิญผมไปบรรยาย ผมก็บอกว่าภาครัฐ เดี๋ยวนี้ต้องระวัง อย่างกรณีบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เข้าคุกกันเป็นแถว บางทีศาลอาญาชนะ ไปแพ้ที่ศาลปกครอง ยกตัวอย่างนะ รายละเอียดผมจำไม่ได้แล้ว ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์สั่งให้คืนเงินผู้รับจ้าง เขาก็คืนไปสองงวด มีเคสใหม่ไปเปิดใหม่เป็นกรณีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสำนวนเดิมเปิดขึ้นมา พลิกกลับมาว่าผู้รับจ้างกลายเป็นฝ่ายผิด ไม่ได้ผิดเรื่องแพ่งอย่างเดียว มีเรื่องอาญาเข้าไปด้วย พวกนักลงทุนก็ถาม ผมก็บอกบางทีก็ลำบากเหมือนกัน ถ้าประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้าไป เรื่องกระบวนการยุติธรรมต้องชัดเจน ถ้าศาลนี้ถูก ศาลนี้ผิด ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในไทยก็คงกลัวอาจจะไม่ลงทุนก็ได้ ทางที่ดีที่สุดจะทำตามอะไรก็ต้องทำตามคำสั่งของศาล จากนี้ไปภาครัฐก็เหมือนกันอย่าใช้ดุลยพินิจ ถ้ามีกรณีข้อพิพาทอะไรกับคู่สัญญาของรัฐ ต้องมีคำสั่งศาลเท่านั้น นี่คือคำพูดที่ผมพูดให้กับนักลงทุนที่มาหาผม 10 กว่าเจ้าเท่านั้น ผมพูดแค่นั้น พูดแบบกรณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจ ถ้าเป็นยุคของผม ผมไม่ใช้"นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันมองกว่ากรณีดังกล่าวเสมือนมีกระบวนการที่จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม เกิดการแตกสามัคคีในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ แต่ในฐานะหัวหน้าพรรค ก็มั่นใจว่าลูกพรรคจะไม่มีใครดำเนินการด้วยการเรียกข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาหารือก่อนเข้ารับตำแหน่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีข้าราชการบางรายในหน่วยงานอื่น ซึ่งไม่ใช่สังกัดกระทรวงคมนาคม จะเสนอตัวเพื่อเข้ามาชี้แจงสรุปงานที่เกี่ยวข้องก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ตนเองก็ได้ปฏิเสธไป

พร้อมทั้งยืนยันด้วยว่า แม้จะมีข่าวว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นน้องชายของนายเนวิน ชิดชอบ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรมว.คมนาคม แล้วอาจจะทำให้นายเนวิน เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยนั้น ตนเชื่อว่านายเนวินมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะไม่ทำเรื่องดังกล่าว และนายศักดิ์สยาม ก็มีอายุ 57 ปีแล้วก็นับว่ามีวุฒิภาวะเพียงพอด้วยเช่นกัน

นายอนุทิน ระบุด้วยว่าส่วนกรณีที่ครอบครัวของตนถือหุ้นใหญ่ในบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) นับเป็นคู่แข่งของบมจ.ช.การช่าง (CK) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน BEM นั้นอาจจะมีผลต่อการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ยืนยันว่าวันนี้ STEC และ CK เป็นพันธมิตรกันในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ดังนั้น จะมาทำลายกันเองเพื่ออย่างใด และธุรกิจของ BEM ก็ไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัวตนเอง เพราะเป็นเรื่องของสัมปทาน ซึ่งบิดาได้สั่งห้ามให้เข้าไปทำสัมปทานกับรัฐ เพราะจะมีความวุ่นวายจากการต่อสัมปทาน แต่ถ้าทำงานรับเหมาก่อสร้าง จะเป็นการทำงานครั้งเดียวแล้วสิ้นสุด

อย่างไรก็ตามแม้ช่วงหลังธุรกิจครอบครัวอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการประมูลงานสัมปทาน เช่น ความร่วมมือกับกลุ่มบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เข้าร่วมประมูลงานรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกนั้น เท่าที่ทราบเบื้องต้นคือส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของครอบครัวจะเป็นงานด้านการก่อสร้างเพียงอย่างเดียว ส่วนรายละเอียดไม่ทราบเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวมาตั้งแต่ปี 47

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่มีข่าวว่าจะเข้าดำรงตำแหน่งรมช.มหาดไทยนั้น ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่จะถูกนำมาพิจารณา แต่ถ้าถามความเหมาะสมส่วนตัวเห็นว่านายชาดา น่าจะไปดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะมีความรู้เรื่องเกษตรกรดี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ