นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) เปิดเผยว่า บริษัทยอมรับว่าผลประกอบการในปี 62 ยังคงขาดทุน แต่จะต่ำกว่าปีก่อนที่ขาดทุนราว 114.35 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทยังต้องรับรู้ผลขาดทนของ บมจ.ไอร่า แอนด์ ไอฟุล ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้ ชื่อ A Money ที่มีขนาดเล็กและยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน
ขณะที่บริษัทคาดว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหุ้น ธุรกิจสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้นสำหรับธุรกิจ และธุรกิจที่ปรึกษา ที่เป็นสัดส่วนรายได้หลักในปัจจุบัน ขณะที่บริษัทย่อยอื่นๆ ก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าผลประกอบการในปี 63 จะเริ่มกลับมาทำกำไรได้ หลังจาก บมจ.ไอร่า แอนด์ ไอฟุล มีขนาดที่ใหญ่มากพอ และผ่านจุดคุ้มทุนไปได้ โดยเฉพาะ AIRA จะมีบริษัทย่อยครบแล้ว 9 แห่งตามเป้าหมาย และจะยังไม่มีการลงทุนใหม่ๆ อีกในปีนี้ ทำให้ช่วงต่อจากนี้จะเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุน
"เรายังคงสามารถบริหารบริษัทให้มีรายได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกันมาตลอด ตั้งแต่ปี 57-61 แม้ว่าจะเป็นช่วงของการลงทุน แต่หลังจากนี้จะเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยว และเริ่มเห็นการเติบโตของรายได้ที่เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 10% ไปถึงปี 65 และบริษัทจะเริ่มมีกำไรที่มีเสถียรภาพด้วย"นางนลินี กล่าว
นางนลินี กล่าวอีกว่า บริษัทยังเดินหน้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าภายใต้ บมจ.ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ โดยบริษัทแรกที่เข้าลงทุน คือ บริษัท แอสไพเรชั่น วัน จำกัด ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารสำนักงานบริเวณสี่แยกราชเทวี มูลค่า 2 พันล้านบาท และบริษัทยังเตรียมพร้อมลงทุนเพิ่มอีก 2 โครงการ ที่เป็นอาคารสำนักงานในเขต CBD ของกรุงเทพใกล้สถานีรถไฟฟ้า โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นทั้งการเพิ่มพื้นเช่าและก่อสร้างอาคารใหม่
ทั้งนี้ หลังจากที่โครงการทั้งหมดแล้วเสร็จและเริ่มสร้างผลตอบแทนได้แล้ว บริษัทจะพิจารณาจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และขายสินทรัพย์ดังกล่าวเข้ากองทรัสต์ฯ มูลค่ารวมทั้ง 3 อาคารอยู่ที่ราว 10,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจอื่นเพิ่มเติม เช่น พลังงานและโลจิกติกส์ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีความสนใจที่จะลงทุนธุรกิจโลจิกติกส์ เพราะเห็นโอกาสการต่อยอดธุรกิจ โดยที่ผ่านมาได้เข้าไปศึกษาธุรกิจดังกล่าวอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากที่ได้เคยขายบริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าวออกไปก่อนหน้านี้
นางนลินี ยังกล่าวถึงแผนการนำ บมจ.ไอร่า ลีสซิ่ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ในปี 63 โดยคาดว่าผลประกอบการในปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จจะทำให้การลงทุนของภาครัฐและเอกชนกลับมา โดย ไอร่า ลีสซิ่ง เป็นหนึ่งในบริษัทที่สามารถสร้างกำไรได้เป็นอย่างดี
ส่วนกรณีของ บมจ.ไอร่า แอนด์ ไอฟุล บริษัทตัดสินใจเลื่อนการนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จากแผนเดิมในปี 62 ไปเป็นปี 64 เนื่องจากขนาดของธุรกิจยังเล็กและมีผลขาดทุน แต่อย่างไรก็ตามในปี 63 จะเริ่มมีขนาดที่เติบโตมากเพียงพอที่เข้าสู่จุดคุ้มทุน และคาดว่าจะเริ่มมีผลกำไรด้วย