นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พริมา มารีน (PRM) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการเติบโตก้าวกระโดด หรือ "Growth Mode" ของบริษัท ตามแผนธุรกิจของบริษัทที่จะสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่และการใช้พลังงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะหนุนผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยปีนี้ บริษัทมีศักยภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศ และกลุ่มเรือขนส่งและกักเก็บ (FSU) ที่มีความโดดเด่น หลังจากในไตรมาส 2/62 มีเรือใหม่ขนาด 3,000 DTW จำนวน 2 ลำ เริ่มให้บริการสร้างรายได้เชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว และในไตรมาสที่ 3 ยังเตรียมรับรู้รายได้จากเรืออีก 2 ลำที่จะเริ่มให้บริการแก่ลูกค้าได้ ส่งผลให้บริษัทจะมีเรือขนส่งปิโตรเลียมในประเทศ ณ ไตรมาสที่ 3 ทั้งสิ้นจำนวน 32 ลำ ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตต่อจากนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนการเข้าถือหุ้นในบริษัท บิ๊กซี จำกัด (Big Sea) จากเดิมที่ถืออยู่ 70% เพิ่มเป็น 80 % และจะสามารถรับรู้รายได้ทันที ซึ่งจะเข้ามาช่วยผลักดันการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศให้แข็งแกร่งมากขึ้นในอีกทางหนึ่ง
ส่วนธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บ จะเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน หลังจากได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะของอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดีขึ้น จากปัจจัยกฎข้อบังคับขององค์กรการเดินเรือระหว่างประเทศ (IMO2020) ส่งผลให้มีความต้องการใช้เรือ FSU เพื่อกักเก็บและผสมน้ำมัน ให้ได้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับโอกาสดังกล่าว ด้วยการเพิ่มเรือ FSU ตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 2/62 จากเดิมที่มีอยู่จำนวน 5 ลำ เป็น 7 ลำ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มเรือ FSU มีอัตราการใช้บริการโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเต็ม 100% สะท้อนถึงการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเรือ FSU ในปีนี้ได้เป็นอย่างดี
"ปีนี้ถือเป็นปี Growth Mode ของ PRM ที่จะเติบโตก้าวกระโดดอย่างแท้จริง จากศักยภาพการทำธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะสะท้อนไปถึงผลการดำเนินงานในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 10-15% ตามแผนงาน" นายชาญวิทย์ กล่าว