นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทมีความสนใจที่จะขยายธุรกิจไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมาและเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และมีโอกาสทางธุรกิจที่ดีสำหรับโครงการในระดับพรีเมียมซึ่งเป็นตลาดหลักของ S โดยจะเน้นรูปแบบการเข้าร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ขณะที่มองว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์มาพัฒนาต่อเป็นโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสน่าจะเป็นแนวทางที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เร็ว
นายนริศ กล่าวว่า ความเป็นไปได้ของการลงทุนในเมียนมาน่าจะทำได้เร็วกว่า เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้เดินทางไปยังเมียนมาตามคำเชิญของนักธุรกิจท้องถิ่นที่อยู่ในธุรกิจเหมืองหยกและเหมืองทับทิมที่แสดงความสนใจที่จะร่วมทุนกับ S ทั้งการพัฒนาโครงการในเมียนมาและในประเทศไทย ซึ่งนักธุรกิจรายนี้มีที่ดินหลายแปลงทั้งในย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ รัฐฉาน เป็นต้น
ขณะที่ S เคยเข้าไปศึกษาการลงทุนในเมียนมามานานแล้ว เพราะมีจุดเด่นในการมีทรัพยากรธรรมชาติและมีแรงงานจำนวนมาก แต่ยังไม่มีแผนงานชัดเจน โดยมองว่าปัจจุบันเมียนมายังไม่มีโครงการในระดับพรีเมียมที่แท้จริง จึงเป็นโอกาสที่บริษัทจะเข้าไปลงทุน ซึ่งเบื้องต้นเห็นว่ารูปแบบที่เหมาะสมน่าจะเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่อาจจะประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก ที่พักอาศัย และโรงแรม รวมทั้งมองว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่เหมาะสมมาพัฒนาต่อน่าจะเกิดความรวดเร็ว
ส่วนเวียดนาม เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากมีการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง แต่ขณนี้ยังไม่ได้เริ่มเข้าไปศึกษา และมองว่ายังมีคู่แข่งค่อนข้างมาก
"เมียนมาเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจของสิงห์ฯ โดยเฉพาะช่วงนี้อสังหาฯ ในบ้านเรามีปัญหาเยอะ อาจจะมีเวียดนาม และประเทศอื่น ๆ ที่มองว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง...แต่คงยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน โดยเราจะ Focus ที่ตัวโครงการเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นใหญ่ แต่ต้องมีอำนาจเต็มในการบริหาร"นายนริศ กล่าว
นายนริศ กล่าวอีกว่า แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีการปรับตัวจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ อาทิ เศรษฐกิจชะลอตัว และนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้าน แต่ S ยังคงเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการตามแผนที่วางไว้ โดยมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ พร้อมรับความท้าทายของตลาดอสังหา นอกจากนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย
สำหรับแผนงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทยังเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามที่วางไว้ด้วยงบลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาทในปีนี้เพื่อสร้างรายได้ให้ถึง 20,000 ล้านบาทภายในปี 63 โดยบริษัทคาดว่าจะมียอดขายและยอดโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเติบโตกว่าช่วงครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ในซอยรางน้ำในช่วงปลายไตรมาส 3/62 มูลค่าโครงการราว 4,500 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ใหม่ในระดับลักชัวรี่ที่รองจากแบรนด์ THE ESSE นอกจากนั้นจะมีการเปิดให้บริการ อาคารสำนักงาน Oasis บนถนนวิภาวดี-รังสิต และโรงแรม 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS สาธารณรัฐมัลดีฟส์
ด้านโครงการเดิม เช่น THE ESSE ASOKE ทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ส่วน THE ESSE @SINGHA COMPLEX จะมีการโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบห้องให้ลูกค้าในไตรมาส 3/62 นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการอื่นๆ ที่ทยอยรับรู้รายได้อีกอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ S มียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปีนี้รวมราว 7 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯในปี 63
ขณะที่บริษัทมีโครงการที่พร้อมขายและอยู่ระหว่างพัฒนาในมือมีมูลค่ารวมประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท เช่น โครงการ THE ESSE Sukumvit 36 มูลค่าโครงการกว่า 6 พันล้านบาท มียอดขายแล้ว 3.8 พันล้านบาทล โครงการสันติบุรี มูลค่า 5 พันล้านบาท มียอดขายแล้ว 6 ยูนิต จากทั้งหมด 26 ยูนิต เป็นต้น ส่วน THE ESSE @SINGHA COMPLEX มีโครงการที่กันไว้ราว 8% เพื่อขายให้กับลูกค้าที่เข้ามาเช่าพื้นที่ในส่วนของอาคารสำนักงาน
ส่วนอาคารสำนักงานภายใน SINGHA COMPLEX ปัจจุบันยังมีลูกค้าให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีบริษัทขนาดใหญ่ติดต่อขอเช่าพื้นที่ โดยมีความต้องการพื้นที่มากถึง 6-7 หมื่นตารางเมตร ขณะที่บริษัทได้กันพื้นที่ขนาดใหญ่ไว้ส่วนหนึ่งเพื่อทำเป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ แต่หากได้ข้อเสนอที่ดีก็อาจจะพิจารณาให้ลูกค้าเช่าใช้แทน
"จากแผนดังกล่าวนี้จะทำให้ S ก้าวขึ้นเป็น โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี อย่างสมบูรณ์แบบในปีนี้ ผ่านกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การสร้างแบรนด์ในระดับพรีเมียม การปรับองค์กรให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน"นายนริศ กล่าว
นายนริศ กล่าวอีกว่า บริษัทมีความพร้อมทางการเงินในการลงทุนโครงการต่าง ๆ เพราะในปีนี้จะมีรายได้จากโครงการใหม่ทยอยเข้ามาจากทุกธุรกิจในเครือ ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.6 เท่า จากนโยบายที่จะรักษาไว้ไม่เกิน 2 เท่า นอกจากนั้นบริษัทยังมองโอกาสที่จะขายโครงการในมือ ทั้งพื้นที่ค้าปลีกในอาคารซันทาวเวอร์ และอาคารอื่นๆ เข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) เพื่อนำเงินมาพัฒนาโครงการใหม่ ๆ คาดว่าจะดำเนินการได้ในปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทยังยืนยันแผนงานนำธุรกิจโรงแรมภายใต้ บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ราวปลายไตรมาส 3/62 เพื่อระดมทุนมาใช้ในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่ปัจจุบันมีการเจรจาซื้อโรงแรมและเชนเพิ่มเติมอีกหลายราย โดยหลังจากเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) แล้ว S จะคงถือหุ้นราว 58%
SHR มีเป้าหมาย 5 ปี (63-67) เพิ่มจำนวนห้องพักเป็น 1 หมื่นห้อง จากปัจจุบันมีอยู่เกือบ 5 พันห้อง เน้นการซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศมาปรับปรุงและเพิ่มจำนวนห้องพักเป็นหลัก รวมทั้งการสร้างเองและมีแผนจะทำแบรนด์ของตัวเองด้วย ซึ่งปัจจุบันธูรกิจโรวแรมในเครือมีหลาย Platform ทั้งร่วมทุน ใช้เชนบริหาร ซื้อมาบริหารเอง และเฟรนไชส์ โดยมีเป้าหมายขยายโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไปในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั้งในยุโรป เอเชีย และอาฟริกา ที่มีระยะการบินจากประเทศไทยประมาณ 10 ชั่วโมง
"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับ สิงห์ เอสเตท และเพิ่มความพร้อมในการลงทุนขยายธุรกิจในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก ให้กับ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เพื่อตอบสนองต่อโอกาสจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว"นายนริศ กล่าว
ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมรวม 37 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษ และเตรียมจะเปิดให้บริการอีก 2 แห่งในมัลดีฟส์ภายในเดือน ส.ค.62