นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) รอบใหม่ จากเดิมที่เคยวางแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงต้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะเลื่อนเวลาในการขายหุ้น IPO แต่ไม่ได้กระทบกับเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ขยายธุรกิจหลักทรัพย์ เนื่องจากมีสถาบันทางการเงินหลายแห่งเข้ามาปล่อยสินเชื่อ และบริษัทระดมทุนได้ด้วยการหุ้นกู้ ซึ่งมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ความจำเป็นในการใช้เงินทุนลดลง
แต่การที่บริษัทยังคงเป้าหมายเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อต้องการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร และเปิดโอกาสสร้างเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ ยังเตรียมความพร้อมจัดตั้งธุรกิจใหม่ในลักษณะการร่วมลงทุนกับพันธมิตรต่างชาติ ช่วยผลักดันผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง คาดเห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 4/62 หรืออย่างช้าในไตรมาส 1/63
สำหรับธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์คาดว่ารายได้จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ตามปริมาณและมูลค่าซื้อขายกลุ่มผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นในปัจจัยการเมืองภายในประเทศ หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่คาดว่าเห็นความชัดเจนในเดือน ก.ค.นี้ ส่งผลให้คาดว่าโครงสร้างรายได้รวมธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะเพิ่มเป็น 40% จากครึ่งปีแรกมีสัดส่วน 35% ของรายได้รวม
นายวิน กล่าวต่อว่า บริษัทมุ่งเน้นขยายธุรกิจให้มีความหลากหลาย โดยตั้งตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 62 ที่ราว 1,300-1,400 ล้านบาท เติบโต 26% จากปีก่อน ประกอบด้วย ธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคลมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ (AUA) มุ่งเติบโตเป็น 80,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.33% จากปี 61 ที่ 60,000 ล้านบาท ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโตเป็น 3,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50% ที่ 2,000 ล้านบาท
ธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนตั้งเป้า AUA ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 100% ที่ราว 10,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนภายใต้ บลจ.วี ตั้งเป้า AUM เพิ่มเป็น 6,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,800 ล้านบาท และเคทีบีเอสที รีทส์ แมเนจเม้นท์ มีแผนตั้งกองรีทจำนวน 3 กองทุน ขนาดรวมกันประมาณ 6,000 ล้านบาท คาดเห็นความชัดเจนการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้ง 2 กองทุนภายในปีนี้
ขณะที่ KTBST ตั้งเป้ารักษาส่วนแบ่งการตลาดของการซื้อขาย TFEX ให้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของอุตสาหกรรม
"ทิศทางผลประกอบการไตรมาส 2/62 เชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารายได้ธุรกิจให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์น่าจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รวมที่ลดลง แต่บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมธุรกิจบริการอื่น ๆ เช่น งานวาณิชธนกิจ งานตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน งานบริการทางการเงิน อีกทั้ง บลจ.วี ในเครือ KTBST ได้เปิดดำเนินการเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ที่มีนโยบายมุ่งสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ตามสภาวะการลงทุนแต่ละช่วง ปัจจุบันได้เสนอขายกองทุนกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ต่างประเทศ อาทิ ลงทุนในสหรัฐฯ,จีน,อินเดีย และหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับอย่างดี ล่าสุดอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสในการลงทุนอื่นๆเพิ่มเติมด้วย"นายวิน กล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/62 บริษัทมีรายได้รวม 322.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 23.7 ล้านบาท โดยมีรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริการ เพิ่มขึ้นมาเป็น 50-60% จากสิ้นปี 61 ที่มีสัดส่วน 40% ขณะที่สัดส่วนรายได้ธุรกิจให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ลดลงเหลือ 30-40% จากสิ้นปี 61 ที่มีสัดส่วน 50%
นายชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ KTBST กล่าวถึงมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 62 ว่า ช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนสูง จากภาวะสงครามการค้าที่กดดันเศรษฐกิจไปทั่วทั้งโลก ซึ่งคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไป และอาจขยายไปยังคู่เจรจาอื่นนอกจากสหรัฐและจีนด้วย
อย่างไรก็ดี KTBST ประเมินว่าสงครามการค้าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และอาจหาข้อสรุปได้ภายในครึ่งหลังของปีนี้ ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบของประเทศคู่เจรจา รวมถึงเศรษฐกิจทั่วโลกที่ส่งสัญญาณชะลอตัวจะกดดันให้คณะผู้เจรจาการค้าจำเป็นต้องหาหนทางยุติสงครามการค้าโดยเร็ว การเจรจากันที่สำคัญคาดว่าจะเริ่มในรอบการประชุม G20 ช่วงวันที่ 28 มิ.ย.62 นี้
ทั้งนี้ คาดว่าจีนต้องการที่จะจบประเด็นความขัดแย้งดังกล่าวให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเสียหายจากภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มจะกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประกอบกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ที่ใกล้จะหมดวาระ จำเป็นต้องมีผลงานเชิงประจักษ์อย่างการเจรจาต่อรองทางการค้ากับจีนให้เป็นผลสำเร็จและเป็นชาติแรกของโลก เพื่อใช้ในการหาเสียงในการสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปี 63 ต่อไป
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มองว่าการปรับตัวลดลงของสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นที่แนวโน้มการเติบโตในระยะยาว มีความมั่นคงทางการเมือง และมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนในระดับที่ต่ำ เช่น จีนและอินเดีย เป็นต้น