นายภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง (ACG) เชื่อมั่นว่าหุ้น ACG ที่มีกำหนดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)ในวันที่ 27 มิถุนายน 2562 นี้ จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกคน เนื่องจากเป็นบริษัทฯ ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากประสบการณ์ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 26 ปี ขณะที่การให้บริการลูกค้าก่อนและหลังการขายมีประสิทธิภาพ การส่งมอบรถยนต์ภายในเวลาที่กำหนด ผนวกกับแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่เตรียมขยายสาขาและศูนย์ซ่อมเพิ่มอีก ซึ่งตั้งเป้าหมายภายในปี 2565 จะมีเครือข่ายสาขา 15 แห่งทั่วประเทศ จะช่วยผลักดันให้รายได้และกำไร ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ACG ถือเป็นดีลเลอร์รถยนต์ฮอนด้ารายใหญ่ในระดับต้นๆของประเทศไทย อีกทั้งรถยนต์ฮอนด้าถือเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมของผู้บริโภค ทำให้ในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ปัจจุบัน ACG มีเครือข่ายสาขาและศูนย์ซ่อมมากที่สุดกว่า 9 สาขา ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น 2 สาขา สุรินทร์ 2 สาขา ภูเก็ต 2 สาขา บุรีรัมย์ 2 สาขา และกระบี่ 1 สาขา โดยในแต่ละเดือนจะมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการและดูรถยนต์ที่โชว์รูมสม่ำเสมอ
"บริษัทฯเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ 224 ล้านบาท ไปใช้ในการขยายสาขาเพิ่มขึ้น ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแรงยิ่งขึ้น"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ACG กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้และกำไรของบริษัทฯจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังเดินหน้าขยายสาขาและศูนย์ซ่อมตามแผนงานที่วางเอาไว้ เนื่องจากสาขาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง และความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น จากรายได้จากการจำหน่ายรถยนต์และอะไหล่ รายได้จากการซ่อมบำรุง รวมถึงรายได้อื่นๆ อาทิ จากค่าบริการสินเชื่อค่านายหน้าจากการนำเสนอบริการสินเชื่อเช่าซื้อและประกันภัยรถยนต์ เป็นต้น
ปัจจุบันโครงสร้างรายได้มาจากการขายรถยนต์ฮอนด้าและอุปกรณ์ตกแต่งคิดเป็นสัดส่วน 87% ซ่อมบำรุงและขายอะไหล่ 10% และส่วนที่เหลือเป็นรายได้ค่านายหน้าจากขายประกันและสินเชื่อและรายได้อื่นๆ
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุน บมจ. ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง เชื่อมั่นว่า ACG จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากนักลงทุน ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องของปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและแผนธุรกิจในอนาคตที่จะสนับสนุนให้รายได้เติบโตมากยิ่งขึ้นแล้ว อีกประเด็นที่สำคัญคือการกำหนดราคาขายที่เหมาะสม รวมถึงดึงดูดใจนักลงทุนด้วย นั่นคือการกำหนดราคาขายที่ระดับ 1.44 บาทต่อหุ้น ซึ่งคำนวณเป็นค่าพีอีเรโชที่ระดับ 18.70 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าพีอีเรโชของตลาดหลักทรัพย์ mai ที่ปัจจุบันยืนเหนือระดับ 40 เท่า
ACG เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 156 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 26 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอ กลุ่มตระกูลรังคกูลนุวัฒน์ ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีสัดส่วนถือหุ้นร้อยละ 74 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้ ACG มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้นรวม 600 ล้านหุ้น