นางสาวสุนทรียา วงศ์ศิริกุล กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบัญชี บมจ. จี สตีล (GSTEL) คาดว่าหุ้น GSTEL จะกลับเข้ามาซื้อขายตามปกติได้ในวันที่ 16 พ.ย.62 โดยบริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 27 มิ.ย.62 เพื่ออนุมัติงบการเงินไตรมาส 1/62 ส่งผลให้บริษัทไม่มีการค้างส่งงบการเงินอีก และการส่งงบการเงินจากนี้จะเป็นไปตามระยะเวลาปกติ
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 29 พ.ค.62 ผู้ถือหุ้นได้พิจารณาอนุมัติรับรองงบการเงินปี 60 และได้มีการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีสำหรับรอบปีบัญชี 61 และ 62 โดยบริษัทได้รายงานงบการเงินไตรมาส 1-3/61 และงบปี 61 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 31 พ.ค.62 จึงทำให้ตลท.ประกาศให้หุ้น GSTEL อยู่ใน resume stage นับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 62
"ปัญหาที่ทำให้เราไม่สามารถส่งงบการเงินตามระยะเวลาปกติได้ เพราะต้องการรอผลจากกองปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเพื่อที่จะประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์เศษเหล็กสูญหายจากกระบวนการซื้อขายเศษเหล็กภาคตะวันออก ซึ่งปัจจุบันได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว"นางสาวสุนทรียา กล่าว
ส่วนกรณีที่ ตลท.ประกาศให้ GSTEL เป็น 1 ใน 16 หลักทรัพย์ที่ถูกขึ้น SP ต่อเนื่องนายเกินกว่า 3 เดือน และจะเปิดให้ซื้อขายเป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 1-31 ก.ค.62 นั้น นางสาวสุนทรียา มองว่าเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากไม่มีกฏเกณฑ์ในการควบคุมการซื้อขาย และในปัจจุบันเองบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อให้กลับให้มาซื้อขายได้ในรูปแบบปกติอยู่แล้ว
"จะเห็นได้ว่าเราอยู่ระหว่างการแก้ปัญหาเพื่อที่จะให้บริษัทกลับมาเป็นปกติไม่ว่าเป็นเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้ที่ใกล้จะเสร็จแล้ว การกลับมาผลิตตามปกติที่เริ่มไปแล้ว และเรายังมีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นสินค้ามีมูลค่าเพิ่ม อีกด้วย ซึ่งนักลงทุนบางคนอาจจะไม่รู้ข้อมูล หรืออาจจะไม่เข้าใจ ทำให้เรามองว่าเป็นผลเสียต่อบริษัทมากกว่าผลดี จึงแนะนำให้นักลงทุนมาซื้อขายในวันที่ปกติจะดีกว่า"นางสาวสุนทรียา กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือนจากนี้จะสามารถสรุปแผนการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งมีวงเงินประมาณเกือบ 1 หมื่นล้านบาท โดยอยู่ระหว่างเจรจากับผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด คือ กลุ่มผู้ถือหุ้น และกลุ่มเจ้าหนี้ คาดว่าจะผ่านได้ด้วยดี ก่อนที่จะนำแผนดังกล่าวเข้าเสนอให้แก่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลดาหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งคาดจะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้แล้วเสร็จภายในปี 62
ขณะที่ปัจจุบันโรงงานของบริษัทได้กลับมาใช้กำลังการผลิตที่ระดับ 60,000-65,000 ตันต่อปี เมื่อเดือน พ.ค.โดยได้รับเงินกู้ระยะยาวจากกลุ่ม SSG เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเงินกู้จำนวนดังกล่าวทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอสำหรับการผลิตในช่วง off-peak