โบรกเกอร์เชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) แนวโน้มผลดำเนินงานในครึ่งปีหลัง (H2/62) จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก (H1/62) จากการจำหน่ายคอนเทนต์ไปต่างประเทศมากขึ้น
ในปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 30% ซึ่งจะเน้นการทำตลาดเชิงรุกตามแนวคิด"ซุปเปอร์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง"โดยร่วมโรดโชว์ออกบูทงานเทศกาลภาพยนตร์ในหลายประเทศ อาทิ ฮ่องกง เกาหลีใต้ รวมถึงการทำตลาดที่เวียดนามและไต้หวันมากขึ้น โดยนำลิขสิทธิ์คอนเทนต์ทั้งอินเดีย และละครไทยจากทางช่อง 3 ที่ร่วมเป็นทางพันธมิตรในการนำลิขสิทธ์ไปขาย
ขณะที่ JKN จะเริ่มรับผลบวกจากการลิขสิทธิ์ CNBC ในการผลิตรายการข่าวในรูปแบบภาษาไทย เพื่อป้อนให้กับกลุ่มลูกค้าทีวีดิจิทัล โดยวันที่ 1 ก.ค.62 จะเริ่มออกอากาศทางช่อง GMM25 ทั้งหมด 3 รายการ และอยู่ระหว่างเจรจาขายลิขสิทธิ์ให้อีก 2-3 ช่อง
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้อยู่ในช่วง 272-276 ล้านบาท
ล่าสุดเมื่อเวลา 15.45 น.ราคาหุ้น JKN อยู่ที่ 9.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท (+0.54%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 10.70 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 11.90 ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 12.30 เอเชีย เวลท์ ซื้อ 11.00
นายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง (H2/62) น่าจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนจากฐานต่ำ และน่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกจากการจำหน่ายคอนเทนต์ไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังได้รับการติดต่อซื้อลิขสิทธิ์จากช่องทีวีดิจิทัลเข้ามามากขึ้น หลังช่องทีวีดิจิทัลมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น ซึ่งสามารถชดเชยกับลูกค้าทีวีดิจิทัลหลักที่คืนช่องทีวีดิจิทัลไป ปัจจุบัน JKN มี Backlog จำนวน 709 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ได้ทั้งหมด
ประกอบกับ ในครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯ จะเริ่มมีรายได้จาก JKN CNBC ที่หลายช่องให้ความสนใจ และธุรกิจภาพยนตร์ ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์และขายให้ Over-The-Top (OTT) โดยยังคาดรายได้ปีนี้เติบโตมาอยู่ที่ 1,681 ล้านบาท และคาดกำไรสุทธิเติบโตมาอยู่ที่ 276 ล้านบาท
ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ เริ่มรับผลบวกจากการขายลิขสิทธิ์ CNBC ในการผลิตรายการข่าวในรูปแบบภาษาไทย เพื่อป้อนให้กับกลุ่มลูกค้าดิจิทัล โดย 1 ก.ค.62 จะเริ่มออกอากาศทางช่อง GMM25 ทั้งหมด 3 รายการ และอยู่ระหว่างเจรจาขายลิขสิทธ์ให้อีก 2-3 ช่อง คาดว่าในปีนี้จะเพิ่มรายได้ให้บริษัทราว 60 ล้านบาท โดยปัจจุบันมี Backlog จากการจำหน่ายคอนเทนต์ในมือกว่า 709 ล้านบาท เป็น ตลาดในประเทศ 578 ล้านบาท และตลาดต่างประเทศ 131 ล้านบาท
ทั้งนี้ ประมาณการรายได้ปีนี้เติบโต 18% เป็น 1,657 ล้านบาท และคาดกำไรในปีนี้ที่ 272 ล้านบาท เติบโต 19% และกำไรในช่วง 4 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ย 10% จากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ มีแผนในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศจากปีก่อนที่ราว 25% เป็น 30% ของรายได้รวม จากปีก่อนที่ประสบความสำเร็จในการรุกตลาดกลุ่มประเทศ CLMV เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งผู้ประกอบการมีการซื้อลิขสิทธ์คอนเทนต์ไปออกอากาศไปแล้วกว่า 1,000 ชั่วโมง โดยกว่า 70% เป็นซีรีย์อินเดีย
โดยในปีนี้บริษัทฯ จะเน้นการทำตลาดเชิงรุก ตามแนวคิด"ซุปเปอร์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง" โดยร่วมโรดโชว์ออกบูทงานเทศกาลภาพยนตร์ในหลายประเทศ อาทิ ฮ่องกง เกาหลีใต้ และจะเน้นทำตลาดที่เวียดนามและไต้หวันมากขึ้น โดยนำลิขสิทธิ์คอนเทนต์ทั้งอินเดีย และละครไทยจากทางช่อง BEC ซึ่งบริษัทร่วมเป็นทางพันธมิตรในการนำลิขสิทธ์ไปขาย คาดว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศได้ตามแผนอย่างแน่นอน
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนในการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์อินเดียมาขายทั้งในไทย และขายยังกลุ่มประเทศ CLMV และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับทาง Netflix ในการขายลิขสิทธ์ภาพยนตร์อินเดียเรื่อง " KHEJDI" ซึ่งมีต้นทุนที่ซื้อมาถูกราว 10 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าจะขายได้เกินกว่าราคาทุนมากกว่าเท่าตัว และยังเป็นตัวแทนขายไปยังอีกหลายประเทศ ซึ่งมองเป็นบวกต่อการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ และเป็น Upside risk ต่อประมาณการที่ยังไม่รวมในประมาณการ
สำหรับบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์คาดแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/62 น่าจะดีกว่าไตรมาสแรก จากการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ส่วนตลาดในประเทศก็เริ่มมีรายได้จากลูกค้าในช่องใหม่ ๆ คือ ช่อง 5 GMM และ PPTV เป็นต้น และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนคาดว่าจะเติบโตอยู่ในระดับกลาง เนื่องจากมีค่าตัดจำหน่ายสูงต่อเนื่องจากไตรมาส 1/62
อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังนี้มองว่าค่าตัดจำหน่ายน่าจะแนวโน้มลดลง หลังจากบันทึกไปมากแล้วในครึ่งปีแรก ในส่วนการซื้อลิขสิทธิ์หนังถึง 965 ล้านบาท จึงคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ไตรมาส 3/62 เป็นต้นไป ขณะที่ด้านผลกระทบที่เกิดจากการคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัลของบางช่อง บริษัทฯ ได้รับการชดเชยจากลูกค้ารายใหม่และตลาดใหม่ ๆ