นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัล์ฟ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นไปตามการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันบริษัท มีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจำนวน 19 แห่ง และโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวน 4 แห่ง โดย 2 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โรงไฟฟ้าที่ศรีราชา ขนาด 2,500 เมกะวัตต์ คาดว่าภายใน 2 ปีจากนี้จะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ และโรงไฟฟ้าที่ จ.ระยอง ขนาด 2,500 เมกะวัตต์
"ผลประกอบการก็น่าจะเป็นไปตามแผน จากโครงการทั้งหมดที่เรามีก็คงเดินไปตามเป้าหมาย และสามารถรับรู้รายได้ได้ตามเป้า ขณะที่เดียวกันเรามีโครงการใหม่ๆ ที่จะเข้ามาต่อเนื่อง ทางเราเองก็พยายามเลือกลงทุนในโครงการที่ดี และหลีกเลี่ยงโครงการที่มีรีเทิร์นต่ำและความเสี่ยงสูง โดยในอีก 10 ปีจากนี้ ก็เชื่อว่าเรายังมีโครงการต่อเนื่อง และมีรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง"นายสารัชต์ กล่าว
ส่วนการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 (ช่วงที่ 1) ที่ร่วมกับบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) ในการขุดลอกและถมทะเล พื้นที่ 1,000 ไร่ เพื่อสร้างคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) มูลค่า 5.54 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาโครงการดังกล่าวได้ในเดือน ก.ค.62 ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ เนื่องจากปัจจุบันมีการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ในการผลิตเป็นไฟฟ้าค่อนข้างมาก หากมีคลังก๊าซธรรมชาติเหลวก็น่าจะทำให้ต้นทุนของบริษัทต่ำลง และเพิ่มผลกำไรทางด้านอื่นๆ ด้วย ขณะที่โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 3 ปัจจุบันยังติดปัญหาอยู่ แต่คาดว่าน่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ยังถือว่าเป็นก้าวแรกของบริษัทฯ ซึ่งสัดส่วนรายได้ยังคงมาจากโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นหลักอยู่ และโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานน่าจะเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ไปอีก 5-10 ปีจากนี้ จากกำลังการผลิตในไทยอีก 2 ปี จะมีเข้ามาอีก 2,500 เมกะวัตต์ และอีก 2 ปีก็จะเพิ่มเป็น 5,000 เมกะวัตต์ รวมถึงทยอยรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าในเวียดนามอีก 500 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้มูลค่า 10,000 ล้านบาท ในปี 63 เพื่อใช้รองรับการลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งต้นปี 62 ที่ผ่านมาก็มีการออกหุ้นกู้ไปแล้วจำนวน 7,500 ล้านบาท