นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมารอบนี้เกิดจากกระแสเงินที่ไหลเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และค่าเงินในตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (emerging market) แข็งค่าขึ้นโดยเฉพาะประเทศไทยที่แข็งค่าที่สุดจากสถานะทางการเงินดีที่สุด จึงเกิดกระแสเงินไหลเข้าเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น
ขณะที่ยังมีความกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะไม่สามารถฟื้นตัวได้ โดยมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ จากมีส่วนในการกระตุ้นการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนแต่ยังต้องใช้ระยะเวลา เนื่องจากคาดว่าภาคเอกชนจะยังชะลอการลงทุนเพื่อติดตามทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของไทย เพราะเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอยู่
"จะเห็นว่าภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกระทบไทยด้วย ตอนนี้มีหลายที่ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยลง นั่นหมายความว่าตัวเลขเศรษฐกิจจากนี้ไปอีก 6 เดือนต่อให้ดอกเบี้ยลงอีกครั้งสองครั้งมันก็ไม่ช่วย เงินที่เข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงก็จะน้อยลง" นายกวี กล่าว
นายกวี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันควรเลือกลงทุนในหุ้นที่ค่อนข้างเป็น "defensive stock" มีความเสี่ยงต่ำและมีปัจจัยพื้นฐานรองรับซึ่งจะทำให้มี downside น้อย ประกอบกับแนะนำการลงทุนในหุ้นที่สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของรัฐบาลชุดใหม่ อาทิ BJC, CPALL, AMATA, STEC, CK, RATCH, BGRIM, GPSC
นอกจากนี้ยังมองว่ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ก็ยังมีความน่าสนใจเนื่องจากราคามีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้ปรับตัวขึ้นแรงแต่ถือว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย อาทิ DIF, TLGF, CPNREIT และ TFFIF
ส่วนนักลงทุนต้องการเก็งกำไรให้ลงทุนในหุ้นที่ราคายังไม่ปรับตัวขึ้นมา (laggard) อาทิ PTTGC, TOP หรือลงทุนกลุ่มธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากผลประกอบการไตรมาสที่ 2/62 น้อยที่สุดและมีการให้ผลตอบแทนที่ดี อาทิ BBL อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และหลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นมาถึงราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ให้ไว้แล้ว
https://youtu.be/K3iPnvvVHSY