บมจ. สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) version แรกต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.62 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 220,000,000 หุ้น คิดเป็น 26.83% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ แบ่งเป็นเสนอขายต่อประชาชน 198 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.15% และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ 22 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.68% โดยมี บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ทั้งนี้ บริษัทฯมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยต้องการระดมทุนเพื่อใช้ลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ
SFLEX ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Made to Order) ผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ประเภทม้วน (Roll Form) และบรรจุภัณฑ์ประเภทซอง (Pre Form Pouch) รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Stand-up Pouch, 3-Sided Seal Pouch, Center Seal Pouch และ 4-Sided Seal Pouch
นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนซื้อเครื่องทำซองในลักษณะ Flat Bottom Pouch เพิ่มเติม โดยติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ปัจจุบัน อยู่ระหว่างทดลองผลิตเพื่อทำสินค้าตัวอย่างให้ลูกค้านำไปทดสอบ Shelf Life และคาดว่าจะสามารถขายและจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ในไตรมาส 3/62 โดยบริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย ปัจจุบันโรงงานของบริษัทมีกำลังการผลิตสูงสุดจำนวน 184.44 ล้านเมตรต่อปี โดยในปี 61 และงวด 3 เดือนแรกปี 62 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 74.48% และ 79.62%
บริษัทจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคและสินค้าบริโภคทั้งที่อยู่ในรูปของเหลวและของแห้ง โดยเป็นการจำหน่ายในประเทศทั้งหมด ลูกค้าหลัก ได้แก่ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เช่น บริษัท นีโอแฟคทอรี่ จำกัด, บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด, บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไอ.พี. แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นต้น ทั้งนี้ รายได้จากการขายหลักมาจากบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคคิดเป็นสัดส่วน 82-85% และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าบริโภค 15-18%
บริษัทมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่จะลงทุนผลิตฟิล์มประเภทที่ใช้ในการปิดผนึกขึ้นรูป (Sealant) ขึ้นเองเพื่อทดแทนการสั่งซื้อจากผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มบางส่วน ซึ่งจะดำเนินการที่โรงงาน 2 แพรกษา เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดราว 150 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มผลิตในไตรมาส 2/64
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 59-61 มีรายได้จากการขาย 1,170.40 ล้านบาท, 1,337.87 ล้านบาท และ 1,361.18 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโต 14.31% และ 1.74% ขณะที่มีกำไรสุทธิ 33.29 ล้านบาท, 146.63 ล้านบาท และ 136.11 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 2.82%, 10.83% และ 9.90% ตามลำดับ
ขณะที่งวด 3 เดือนแรกของปี 62 บริษัทมีรายได้รวม 342.97 ล้านบาท ต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวม 313 ล้านบาท กำไรสุทธิ 23.69 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 มี.ค.62 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 944.29 ล้านบาท หนี้สินรวม 565.35 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 378.93 ล้านบาท
ณ วันที่ 28 มี.ค.62 บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 410 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 300 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้บริษัทจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วครบทั้งจำนวน
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 28 มี.ค.62 ประกอบด้วย นายปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ ถือหุ้น 408 ล้านหุ้น คิดเป็น 68% หลังเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 49.76%, นายเอก พิจารณ์จิตร ถือหุ้น 90 ล้านหุ้น คิดเป็น 15% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 10.98% และนางสาวกชกร วณิชานุวัตร ถือหุ้น 54 ล้านหุ้น คิดเป็น 9% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 6.59%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทในแต่ละปี ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย