นายสุธี ตันติวณิชชานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงินนะ บมจ.พีพี ไพร์ม (PPPM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดหวังพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในสิ้นปี 62 จากปี 61 มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 110.08 ล้านบาท แม้ว่าไตรมาส 1/62 ยังมีผลขาดทุน 50.52 ล้านบาทจากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ทั้งโครงสร้างรายได้และต้นทุนทางการเงินทั้งหมด โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาขายสินทรัพย์ ประกอบด้วย ฟาร์มวิจัย 200 ไร่, สวนมะพร้าว 9 ไร่, ที่ดินและสำนักงานรวม 50 ไร่ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท รวมถึงเตรียมศึกษาโอกาสการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์ในระยะยาว หากพบว่าจะเติบโตไม่มากก็อาจพิจารณาขายธุรกิจดังกล่าวไป คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในสิ้นปีนี้
บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 20% โดยส่วนใหญ่ยังคงมาจากธุรกิจอาหารสัตว์ที่เป็นรายได้หลักมีการเติบโตต่อเนื่อง และธุรกิจโรงไฟฟ้าก็ยังคงสร้างกำไรต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งแนวทางการดำเนินงานจากนี้ไป บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจโรงไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานสะอาดทุกรูปแบบ
ปัจจุบัน บริษัทมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้ภิภพที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วจำนวน 15 โรง กำลังการผลิตโรงละ 125 กิโลวัตต์ และเตรียมจะลงทุนเพิ่มอีก 9 โรง กำลังการผลิตโรงละ 125 กิโลวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ได้ในปี 63 เป็นต้นไป ขณะเดียวกันบริษัทยังมองโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมในภาคเหนือของประเทศญี่ปุ่นในระยะถัดไป ซึ่งจะต้องติดตั้งเสากังหัน จำนวน 110 ต้น กำลังการผลิตรวม 2.2 เมกะวัตต์ หลังจากคณะกรรมการบริษัทมีการอนุมัติการลงทุนแล้ว 27 ต้น หรือมีขนาดกำลังผลิตราว 0.54 เมกะวัตต์
นอกจากนั้น ในสัปดาห์หน้าบริษัทยังเตรียมเซ็นสัญญากับบริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (ESCO) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ให้เข้ามาเป็นผู้ดำเนินงาน (Operator) การเดินเครื่องและบำรุงรักษา (O&M) โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ และโรงไฟ้าในรูปแบบอื่นในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นเป็น 86% จากเดิม 68%
บริษัทยังมองโอกาสเข้าซื้อโรงไฟฟ้าประเภทรีนิวเอเบิ้ลในประเทศญี่ปุ่น ทั้งในรูปแบบกรีนฟิลด์, โรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว โดยจะเปิดให้พันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน และให้ ESCO เป็นผู้ดำเนินงาน โดยบริษัทมองสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าในอนาคตน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 5% แต่สามารถสร้างกำไรเติบโตได้ 100%
นายสุธี กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินรวมทั้งสิ้นรวมประมาณ 1,950 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตร จำนวน 714 ล้านบาท โดยมีดอกเบี้ยอยู่ที่ 7-8.5% คาดว่าจะชำระคืนได้ภายในปี 62 ส่งผลให้หนี้สินต่อทุน D/E มีโอกาสลดลงเหลือ 1.5 เท่า จากเดิม 2.75 เท่า ส่วนที่เหลือจะเป็นหนี้โปรเจ็คต์ไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ย 3% ซึ่งจะนำเงินส่วนใหญ่จากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (RO) ในช่วงที่ผ่านมาไปชำระคืน