นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยตอบรับปัจจัยบวกจากในประเทศ และต่างประเทศ หลังจากการเจรจานอกรอบระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนออกมาในทางที่ดี โดยสหรัฐประกาศจะไม่เพิ่มการเก็บภาษีรอบใหม่กับสินค้าส่งออกของจีนมูลค่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และอนุญาตให้บริษัทในสหรัฐให้บริการและซื้อขายกับ Huawei อีกครั้ง
ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อในประเทศ ที่ออกมาสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป โดยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวเฉลี่ย 0.92% ส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์ปรับลดเป้าเงินเฟ้อปี 62 เหลือโต 1% ในกรอบ 0.7-1.3% จากเดิม 1.2% กรอบ 0.7-1.7% และกระทรวงการคลังเตรียมมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภครอบใหม่ โดยเร่งจัดทำข้อมูลเสนอรัฐบาลใหม่เบื้องต้นมีงบประมาณ 1 แสนล้านบาท
ส่วนปัจจัยลบที่ยังคงกดดันการลงทุนในระยะนี้ อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน จากการเปิดเผยดัชนี PMI ภาคบริการเดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับ 54.2 ลดลงจากเดือน พ.ค.ซึ่งอยู่ที่ระดับ 54.3 ขณะที่ PMI ภาคการผลิตเดือน มิ.ย.ทรงตัวจาก พ.ค. ที่ระดับ 49.4 ดัชนีต่ำกว่า 50 บ่งถึงชี้ภาวะหดตัว ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าทำสถิติใหม่แข็งค่าที่สุดในรอบ 6 ปีกดดันอัตราการเติบโตของการส่งออกไม่เติบโตตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่หลายสำนักวิจัยคาดจะเห็นมูลค่าส่งออกหดตัว
นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาในวันที่ 1- 2 ก.ค. ทางกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปกประชุม หารือเกี่ยวกับการขยายเวลาปรับลดการผลิต
ส่วนวันที่ 2 ก.ค. สหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน พ.ค. และวันที่ 3 ก.ค. จีนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือน มิ.ย. ทางด้านสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน มิ.ย. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดนำเข้ายอดส่งออกและดุลการค้าเดือนพ.ค. ดัชนีภาคบริการ คำสั่งซื้อภาคโรงงาน และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์
ด้านนายสรรพกัณฑ์ ปัทมบริสุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มปรับขึ้นหลังผลการประชุมนอกรอบการประชุมกลุ่มประเทศ G20 ระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนออกมาในทิศทางที่ดี คาดดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,730-1,765 จุด จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่น TASCO, TOA, PTTEP, TOP, EGCO, HARN รวมทั้งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสหรัฐเลิกแบนหัวเว่ย อาทิ SYNEX และหุ้นน่าลงทุน Theme EEC play อย่าง AMATA, WHA, WHAUP, WHART, EASTW, ATP30, ORI
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 20 ดอลลาร์ โดยทองคำได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ลงนามในคำสั่งคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ เพื่อตอบโต้อิหร่านที่ยิงโดรนของกองทัพสหรัฐตก
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำลดช่วงบวกลงจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่สภาวิเทศสัมพันธ์ในกรุงนิวยอร์ก อีกทั้งประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ แสดงความเห็นคัดค้านการที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือน ก.ค. นอกจากนี้นักลงทุนได้เข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มผ่อนคลายขึ้นในการประชุมนอกรอบของการประชุม G20
ดังนั้น คาดการณ์ราคาทองคำในสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,365-1,410 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยหากสามารถสร้างฐานได้เหนือ 1,365 ดอลลาร์/ออนซ์ มองเป็นจังหวะเข้าซื้อเพื่อลงทุนเก็งกำไรเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือน ก.ค.นี้ ซึ่งทาง Bloomberg คาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาส 84.5% ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 2.25%