นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนตามนัยมาตรา 64 และมาตรา 68 (3) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ของบมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. จำนวน 4 โครงการ เพื่อเป็นการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อบรรเทาผลกระทบ จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ อันนำไปสู่การปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิช่วงระหว่างเดือนเมษายน – ธันวาคม 2553 (ระยะเวลา 9 เดือน)
โดย ครม.วางหลักการช่วยเหลือไม่เกินมูลค่าความเสียหายจริง ซึ่งคณะกรรมการ (บอร์ด ) ทอท. ให้ความเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายรวม 240 ล้านบาท ได้แก่
1. ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม โครงการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการคลังสินค้าฯ) ระหว่าง ทอท. กับบริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (WFSPG)
2. ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นฯ) ระหว่าง ทอท. กับบริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟล์ทเซอร์วิส จำกัด (BFS)
3. ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม โครงการครัวการบิน (Catering Services) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการครัวการบินฯ) ระหว่าง ทอท. กับบริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด ( BAC)
4. ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม โครงการครัวการบิน (Catering Services) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระหว่าง ทอท. กับบริษัท แอลเอสจี สกายเชฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (LSG)
เรื่องดังกล่าวเป็นการเสนอขอแก้ไขการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับผลประโยชน์ตอบแทนของรัฐ จึงเข้าข่ายการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
ทั้งนี้ การแก้ไขสัญญาที่กระทรวงคมนาคม เสนอมาในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในลักษณะเดียวกันกับที่บมจ. การบินไทย (THAI) ได้รับไปแล้วก่อนหน้านี้ จึงเป็นไปตามหลักการความเท่าเทียมกันสำหรับผู้ประกอบการทุกราย ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ