นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวขึ้นกันเล็กน้อยราว 0.2-0.3% จากความคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาอ่อนแอ โดยคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ 1 ครั้ง และอีก 1 ครั้งในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบก็รีบาวด์ขึ้นได้ราว 1% หลังจากที่สต็อกน้ำมันของสหรัฐฯปรับตัวลง 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ส่วนบ้านเราก็มีความคืบหน้าในการตั้งรัฐมนตรี ทำให้น่าจะได้เห็นโฉมหน้ารัฐบาลในกลางเดือนก.ค.ตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะปิดทำการในวันที่ 4 ก.ค.นี้เนื่องในวันชาติ ดังนั้น อาจจะทำให้ตลาดบ้านเราเงียบเหงาลงไปบ้างเล็กน้อย พร้อมให้แนวรับ 1,730-1,725 จุด ส่วนแนวต้าน 1,750 ถัดไป 1,760-1,765 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (3 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,966.00 จุด เพิ่มขึ้น 179.32 จุด (+0.67%),ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,995.82 จุด เพิ่มขึ้น 22.81 จุด (+0.77%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,170.23 จุด เพิ่มขึ้น 61.14 จุด (+0.75%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 102.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 0.42 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 36.83 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 12.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.34 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.47 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.40 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 ก.ค.62) 1,738.51 จุด เพิ่มขึ้น 6.28 จุด (+0.36%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 165.59 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2562
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (3 ก.ค.62) ปิดที่ 57.34 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 ก.ค.62) ที่ 5.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.57 แนวโน้มทรงตัวในกรอบ 30.50-30.65 ตลาดจับตาท่าทีธปท.หลังบาทแข็งค่า-รอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ
- "แบงก์ชาติ" ห่วงกำลังซื้อวูบ หลังส่งออกชะลอกระทบการจ้างงาน ลั่นยังไม่ปิดประตูลดดอกเบี้ย ชี้หากเศรษฐกิจต่ำคาด อาจเห็น กนง.ปรับนโยบายการเงินใหม่ ด้าน "ลอมบาร์ด" ฟันธง "เฟด" จ่อลดดอกเบี้ย 2 ครั้งปีนี้ กดดันบาทแข็ง คาดปีนี้อาจแตะ 28.5 ต่อดอลลาร์ ขณะ สรท.เผยพิษบาทแข็ง ฉุดส่งออก 5 เดือน มูลค่าวูบ 2 แสนล้านบาท
- "คลัง" เตรียมเสนอ "แบงก์ชาติ" อนุมัติแผนควบรวม "ทีเอ็มบี-ธนชาต" เร็วๆ นี้ เผยขั้นตอนการทำดิวดิลิเจนซ์ใกล้สมบูรณ์ 100% แล้ว คาดภายใน 1-2 เดือน จะเข้าสู่ขั้นตอนประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นและพร้อมจัดตั้งเป็นแบงก์ใหม่ได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยคลังเตรียมพร้อมเงินเพิ่มทุนรักษาสัดส่วนถือหุ้น 1-1.3 หมื่นล้านบาท
- กระทรวงพาณิชย์เผยสถิติการค้าไทยกับประเทศที่มีเอฟทีเอ 17 ประเทศ 5 เดือนแรก มูลค่า 1.19 แสนล้านเหรียญ อาเซียนมากสุด ตามด้วยจีนและญี่ปุ่น พบอินเดียและเปรูขยายตัวสูง หวังสงครามการค้าคลี่คลายหนุนการค้าโลกและการค้าระหว่างประเทศของไทย
- ขณะนี้ราคาแอลพีจีในตลาดโลกเริ่มปรับลดลงอยู่ที่ 365 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งราคาที่ลดลงจะส่งผลให้ราคาแอลพีจีขายปลีกถังครัวเรือน 15 กิโลกรัม (กก.) จากปัจจุบันอยู่ที่ 363 บาทต่อ กก.ลดลงด้วยหรือไม่ขึ้นอยู่กับนโนยายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ตัดสินใจ เนื่องจากขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง บัญชีแอลพีจี ยังติดลบ 6,500 ล้านบาท
- นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าโครงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า ในส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 220,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้รับการเห็นชอบแล้วคาดว่าจะลงนามสัญญากับเอกชน (กิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร) ในเดือนกรกฎาคม 2562 นี้
*หุ้นเด่นวันนี้
- KKP (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า IAA Consensus 80 บาท ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO (2 เดือนที่ผ่านมา KKP +5% แต่ TISCO+12%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7% ต่อปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน Q1/62 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว
- SCCC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อลงทุน"เป้า 275 บาท คาดกำไร Q2/62 จะลดลงเหลือ 700 ล้านบาท (-37%QoQ, -31%YoY) จากรายการพิเศษ คือ กฏหมายแรงงานใหม่ทำให้ต้องตั้งสำรอง 249 ล้านบาท และ มีการปิดซ่อมบำรุง 2 เตา ทำให้มีค่าใช้จ่าย 200 ล้านบาท แนวโน้มปี 2562-63 คาดจะเติบโตต่อเนื่อง จากเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการซื้อธุรกิจปูนซีเมนต์ในหลายประเทศ และ ความต้องการปูนซีเมนต์มีการเติบโต นอกจากนี้มีการจ่ายปันผลในอัตราสูงต่อเนื่อง 70-80% ของกำไร ประเมินปันผลของกำไรปี 2562 เท่ากับ 10-11 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 4.3%