โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคทีบี(ประเทศไทย) ซื้อ 3.40 ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 3.48 โกลเบล็ก ซื้อ 3.10 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 3.60
นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางกำไรสุทธิของ NER ในช่วงไตรมาส 2/62 จะเติบโตได้ค่อนข้างดี ซึ่งได้รับผลดีจากสต็อกต้นทุนยางที่ต่ำกว่าตลาด ขณะที่ราคายางปรับเพิ่มขึ้นเป็น 60 บาท/กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 8% โดยราคายางปรับตัวขึ้นตามตลาดซื้อขายล่วงหน้าต่างประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้ยางในญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น และการเก็งกำไรจากกองทุนจีน ประกอบกับการยางแห่งประเทศไทยได้ใช้มาตรการรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยเข้าไปประมูลยางเพื่อดูดซับอุปทานส่วนเกินในตลาดกลาง รวมถึงการใช้ยางทำถนน และที่เก็บน้ำ ทำให้อุปทานส่วนเกินลดลง
นอกจากนี้ NER ยังสามารถใช้กำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามา 60,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นราว 26% ซึ่งจะส่งผลให้ทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
"ผลประกอบการจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามกำลังการผลิตยางผสมที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นให้ปรับตัวสูงขึ้นด้วย โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มเป็น 9.5% จากไตรมาส 1/62 อยู่ที่ 8.2% " นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี(ประเทศไทย) กล่าว
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจุบัน NER อยู่ระหว่างรออนุมัติใบก่อสร้างโรงงาน เพื่อจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นราว 60% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 287,200 ตัน/ปี จะใช้เงินลงทุน 456 ล้านบาทเพื่อผลิตโรงงานยางแท่งแห่งใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จใน เดือน มี.ค.63 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อลูกค้ายางล้อใหม่ ๆ เพิ่มเติมเนื่องจากโรงงานปัจจุบันใช้รับคำสั่งซื้อลูกค้าเดิม ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างติดต่อลูกค้าใหม่ทั้งในยุโรปและญี่ปุ่นเพื่อขยายตลาดและลูกค้าเพื่อรองรับกำลังการผลิตใหม่ที่จะทยอยเพิ่มขึ้นในปีหน้า
สำหรับสถานการณ์สงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีน และสหรัฐ จะกระทบต่อปริมาณการส่งออกยางไปประเทศจีนให้ลดลงราว 20% แต่คาดว่าปริมาณขายของ NER จะได้การทดแทนจากการขายในประเทศเพิ่มขึ้นจากช่วงหลายปีก่อนหน้าลูกค้ายางล้อในจีนได้ย้ายฐานการผลิตมาไทย อีกทั้งล่าสุดผู้ประกอบการยางล้อรายใหญ่ในจีนอย่าง พรินซ์ เฉิงชาน ตัดสินใจที่จะมาก่อสร้างโรงงานยางล้อในไทยเพิ่ม ซึ่งจะทำให้ปริมาณขายในประเทศยังเติบโตได้ต่อเนื่องและรองรับการย้ายฐานการผลิตจากลูกค้ายางล้อในจีน โดย NER คาดว่าในปี 63 สัดส่วนการขายในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% จากปัจจุบันอยู่ที่ 60%
ฝ่ายวิจัยยังชอบ NER จากการเติบโตของการดำเนินงานจากการขยายกำลังการผลิตรองรับ และราคายางที่ปรับขึ้น อีกทั้งการมีคำสั่งซื้อในมือรองรับทำให้ได้รับผลกระทบจำกัดหากราคายางปรับลง นอกจากนี้ยังให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงราว 5-6% ต่อปี
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงคาดกำไรสุทธิของ NER ในไตรมาส 2/62 จะดีขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เพราะราคาขายยางที่ทำสัญญากับลูกค้าล่วงหน้า 4 เดือน คือเดือนธ.ค. 61 - ก.พ. 62 ได้ปรับตัวขึ้นตามต้นทุนและตามแนวโน้มราคายางที่ฟื้นตัว ส่วนทิศทางราคายางคาดว่าจะยังเพิ่มขึ้นจนถึงไตรมาส 3/62 เนื่องจากปีนี้การเปิดกรีดยางล่าช้าจากภาวะฝนตกน้อย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะค่อยๆ ดี ขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ คงคำแนะนำซื้อเนื่องจาก NER เป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ในภาคอีสานซึ่งเป็นภูมิภาคที่ยางคุณภาพดี นอกจากนี้ ยังมีแผนการขยายยอดขายอย่างต่อเกิดจากแผนการเพิ่มทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตและสร้างโรงงานใหม่ในอนาคต