หุ้น IRPC ปิดตลาดราคาอ่อนตัวลง 3.23% มาอยู่ที่ 4.80 บาท ลดลง 0.16 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,147.16 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 4.92 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.94 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 4.78 บาท
บ่ายวันนี้ บมจ.ปตท.(PTT) ระบุว่าจะทบทวนโครงการผลิตพาราไซลีนของ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) หลังเผชิญวิกฤตสงครามการค้าคาดว่าจะมีข้อสรุปปลายปีนี้
ขณะที่ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า IRPC ไม่สมควรที่จะซื้อขายที่ราคาพรีเมียม พร้อมปรับคำแนะนำลงจาก"ซื้อ"เป็น"ขาย" เนื่องจากธุรกิจเคมีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดย IRPC มีความเสี่ยงจากกลุ่ม Durable polymer เช่น PP และ ABS ซึ่งพึ่งพาเศรษฐกิจจีนสูงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และจีนเองมีแผนการที่จะพัฒนา PP เป็นของตัวเอง ทำให้ปรับ PBV ที่เหมาะสมลงจาก 1.5 เท่าเป็น 1 เท่า พร้อมทั้งมูลค่าที่เหมาะสมลงจาก 6.8 บาท เป็น 4.40 บาท
ในกลุ่มของอุตสาหกรรมปลายน้ำของไทย IRPC ได้รับผลกระทบมากสุดจากสงครามการค้า เนื่องจากผลิตให้กลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ โดยสัดส่วนของ PP และ ABS อยู่ที่ 30% และ 7% ของกำลังการผลิตรวม ในขณะที่อัตรากำไรของ PP-naphtha จะลดลงจาก 667 ดอลลาร์/ตัน เป็น 565 ดอลลาร์/ตัน และ 595 ดอลลาร์/ตันในปี 62-63 และคาดว่าอัตรากำไรของ P2F จะลดลงจาก 7.3 ดอลลาร์ในปี 61 เป็น 5.8 ดอลลาร์ในปี 62 จากเดิมที่ 7.2 ดอลลาร์
ทั้งนี้ เชื่อว่าผลประกอบการของ IRPC ในช่วงไตรมาส 2/62 จะน่าผิดหวังต่อจากการดำเนินงานที่อ่อนแอ และผลขาดทุนจากสต็อค จึงคาดผลประกอบการที่ 506 ล้านบาท ฟื้นตัวขึ้น QoQ แต่ลดลง YoY และอัตรากำไรที่ลดลง ทำให้ปรับผลประกอบการลง 46% และ 45% สำหรับปี 62-63 ทำให้ประมาณการของเราต่ำกว่าตลาดคาดราว 37% และ 36% แต่มีความเสี่ยงเชิงบวกคือ ส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น และการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด
นอกจากนี้ คาดว่าการฟื้นตัวของโรงกลั่นจากช่วง Driving season จะจำกัดลงจากโรงกลั่นขั้นกลาง (Diesel, Jet Fuel) และด้านของ Fuel Oil จะพลิกกลับมาลดลง และในด้านโควต้าการส่งออกน้ำมันจากจีนจะเริ่มส่งผลกระทบต่อตลาด ในขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น ส่วนต่างของราคาน้ำมันหนักเบาเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือน ก.ค. จากเดิม 1.2 ดอลลาร์ และ 1.4 ดอลลาร์ในเดือน เม.ย. และ ก.ค. ด้วยอุปทานที่จำกัด และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นในเอเซีย ทำให้คาดว่า GRM จะลดลงเป็น 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิม 6.2 ดอลลาร์