นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าเปิดเทรดจะฟื้นตัวขึ้นได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่หลายตลาดฟื้นตัวก่อน และในเวลาต่อมาก็อ่อนตัวลงในลักษณะปรับฐาน หลังจากที่เริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิแล้ว และกองทุนในประเทศก็ยังขายต่อเนื่อง ซึ่งเดือนก.ค.นี้ขายมาแล้วราว 12,000 ล้านบาท ทำให้วอลุ่มเทรดดูจะหดหายไป
นอกจากนี้ตลาดฯยังคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ซึ่งให้จับตาประธานเฟดจะแถลงนโยบายการเงินต่อสภาคองเกรสในวันที่ 10-11 ก.ค.นี้ ว่าจะมีการส่งสัญญาณอะไรออกมาหรือไม่เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยนี้ทำให้เห็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมาแข็งค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ได้ดีดกลับขึ้นมา ขณะที่เงินบาทก็เริ่มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายทำกำไรออกมา เพราะเป็นการล็อกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) และกำไรจากหุ้นด้วย
สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็ยังดำเนินการอยู่ ส่วนราคาน้ำมันก็แกว่งไซด์เวย์ พร้อมให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของกลุ่มแบงก์งวดไตรมาส 2/62 ซึ่งเริ่ม 11 ก.ค.นี้ของ TISCO โดยมองตลาดฯยังเป็นลักษณะปรับฐาน
พร้อมให้แนวรับ 1,720 จุด ส่วนแนวต้าน 1,738 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (8 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,806.14 จุด ลดลง 115.98 จุด (-0.43%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,975.95 จุด ลดลง 14.46 จุด (-0.48%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,098.38 จุด ลดลง 63.41 จุด (-0.78%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 63.80 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.54 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 31.96 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 21.39 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.18 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 3.73 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.51 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 6.40 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 ก.ค.62) 1,731.03 จุด ลดลง 0.20 จุด (-0.01%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 597.23 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2562
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (8 ก.ค.62) ปิดที่ 57.66 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 15 เซนต์ หรือ 0.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (8 ก.ค.62) ที่ 6.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.82/87 อ่อนค่าจากวานนี้หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯหนุนดอลล์แข็ง-ตลาดจับตาถ้อยแถลงประธานเฟด
- "เวิลด์แบงก์" หั่น "จีดีพี" ไทยเหลือโต 3.5% หลังเศรษฐกิจโลกชะลอ ฉุดส่งออกไทยหดตัวครั้งแรกรอบ 3 ปี ที่ระดับ 4% กดดัน "จีดีพี" ไตรมาสแรกโตแค่ 3% หวังครึ่งปีหลังภาครัฐอัดโครงการลงทุน ฟื้นอุปสงค์ในประเทศ จับตาความเสี่ยงใหม่ จากปัจจัยการเมืองเหตุความไม่มั่นใจของรัฐบาลใหม่มีมากขึ้น ส่อกระทบความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบาย พร้อมแนะเกาะติดสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐใกล้ชิด
- บีทีเอสทดสอบความพร้อมระบบรถไฟฟ้า พร้อมเปิดให้บริการจากหมอชิตถึงห้าแยกลาดพร้าววันที่ 11 ส.ค.นี้ โดยไม่เก็บค่าโดยสาร จากนั้นเปิดถึงแยกเกษตร ธ.ค.62 และทั้งสายถึงคูคตปลายปี 63 ด้าน รฟม. เตรียมเซ็น MOU กับ กทม. โอนสิทธิและหนี้ค่าก่อสร้างสีเขียวเหนือกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ส่วนการเจรจาสัมปทานเดินรถสายสีเขียวตามคำสั่ง ม.44 คาดจบใน 2 เดือน ให้บีทีเอสรับหนี้กว่าแสนล้าน คุมค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย กทม. พร้อมควักรายได้อุดหนุน แลกสัมปทานยาวถึงปี 2602
- กสทช.ดึงเงิน กทปส. 14,575 ล้านบาท จ่ายคืนแบงก์การันตี 22 ช่องทีวีดิจิทัล ยกเว้นไทย ทีวี จำนวน 2 ใบอนุญาต เพราะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ย้ำจ่ายค่าไลเซนส์งวด 4 ครบเท่านั้นจึงได้รับสิทธิ
- ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยทิศทางการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. ปี 63 ว่า ททท.จะหาทางดึงนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละปีมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ให้หันกลับมาท่องเที่ยวในไทยให้ได้ประมาณ 50% ด้วยการหาแนวทางการกระตุ้นรูปแบบต่าง ๆ เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายสูง หากทำสำเร็จจะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างท้าทายว่าจะโต 10% หรือคิดเป็นเงินรายได้รวม 3.72 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 62 ที่คาดว่าจะโต 9.5% หรือคิดเป็นรายได้ 3.38 ล้านล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- KKP (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า IAA Consensus 79 บาท ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO (2 เดือนที่ผ่านมา KKP +5% แต่ TISCO+12%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7%ต่อปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน Q1/62 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว
- SISB (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 8.84 บาท เป็นหุ้นหลบภัยที่ดีเมื่อความเสี่ยงตลาดเพิ่มขึ้น เพราะรายได้ของโรงเรียนเป็น Recurring ที่เติบโต โดยคาดกำไร 44 ล้านบาท ใน Q2/62 +5% Q-Q, +111% Y-Y ตามการเพิ่มของจำนวนนักเรียนและค่าเทอม และไม่มีดอกเบี้ยจ่าย กำไรดังกล่าวหักล้างขาดทุนสะสมใน Q1/62 ได้หมด มีความสามารถจ่ายปันผล อีกทั้งกำไรจะโตก้าวกระโดดอีกครั้งใน Q3/62 ที่เป็นการเปิดภาคการศึกษาใหม่และปรับขึ้นค่าเทอม (ปกติปรับขึ้น 5% ต่อปี)
- TU (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 21 บาท โดยปัจจุบันไม่มีแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายพิเศษเช่นเดียวกับปีก่อน ทำให้แนวโน้มผลประกอบการปี 62 ฟื้นตัวดี พร้อมคาดแนวโน้มกำไรปกติ Q2/62 ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดกำไรปกติ Q2/62 ที่ 1,488 ล้านบาท ดีขึ้น 34%QoQ และ 46%YoY คาดรายได้รวมดีขึ้น QoQ เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดจะดีขึ้นเนื่องจากราคาทูน่าปรับตัวลง ส่งผลบวกต่อต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจทูน่าแบรนด์ ส่วนแนวโน้ม Q3/62 คาดว่าจะเห็น Momentum ที่ดีต่อเนื่อง เนื่องจากจะเข้าสู่ High Season เต็มตัว