PTT วางเป้ากำไรจากการดำเนินงานเติบโตเฉลี่ยทุกปีในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ตามแผนขยายลงทุน-เน้นสินค้าเกรดพิเศษ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 10, 2019 08:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ปตท.วางเป้าหมายกำไรจากการดำเนินงานในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าจะเติบโตอย่างยั่งยืนเฉลี่ยในทุก ๆ ปี ตามการขยายลงทุนของกลุ่มปตท. รวมถึงการมุ่งเน้นสร้างผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (specialty) ที่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีมาร์จิ้นดีกว่าสินค้าปกติ (commodity) ก็จะช่วยชดเชยผลกระทบจากราคาและส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีที่มีความผันผวนตามสภาวะตลาด

ทั้งนี้ กลุ่มปตท.วางแผนบริหารจัดการและขยายงานของธุรกิจในกลุ่มให้สอดรับกับความต้องการของตลาด รวมถึงทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต และมองการขยายงานไปยังต่างประเทศที่มีศักยภาพ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมใหม่เข้ามาเสริมและสร้างความยั่งยืน

"ผลการดำเนินงานหลัก ๆ ขึ้นอยู่กับราคาและสเปรดด้วย มันยากในยุคนี้ไม่ได้ยากในยุคก่อนหน้านี้เพราะยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ แต่เป้าหมายเราคือการ growth อย่างยั่งยืน ทุก ๆ ปี...คำว่า growth ต้องมองไกล ๆ 5 ปี 10 ปี growth ขึ้น assest ก็ต้องเพิ่มขึ้น แนวโน้มแม้ว่าบางปีจะแย่ แต่โดยเฉลี่ยมัน growth ขึ้น จากที่เราลงทุนทุกปีปีละเป็นแสนล้าน ราคาและสเปรดเรา control ไม่ได้ ถ้าวอลุ่มโต แต่สเปรดเท่าเดิมเราก็โต และเราก็ต้องสร้างตัวเราเองด้วยการไม่ไปทำ product ที่ value ต่ำต่ำก็จะหันไปทำ product ที่ value สูงสูง พอเป็น commodity ก็ขึ้นอยู่กับตลาดโลกเราก็จะไปทำ specialty"นายชาญศิลป์ กล่าว

นายชาญศิลป์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาปตท.ไม่เคยประสบปัญหาขาดทุนเพราะว่ามีธุรกิจในหลายด้าน โดยมีกำไรสุทธิต่ำสุดที่ราว 2 หมื่นล้านบาทเมื่อปี 58 และทำกำไรสุทธิสูงสุดที่ระดับ 1.35 แสนล้านบาทเมื่อปี 60 ซึ่งเป็นไปตามสภาวะของตลาดโลกในเรื่องของราคาและสเปรดผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่การที่จะรักษาระดับกำไรให้อยู่ระดับ 8 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาทได้นั้น จะต้องบริหารจัดการและขยายการลงทุนให้มีความเหมาะสม

โดยในส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งในอนาคตจะมีการแข่งขันมากขึ้น ทำให้ปตท.ต้องปรับตัวเพื่อหารายได้อย่างอื่นมาเสริมนอกจากการขายก๊าซฯเพียงอย่างเดียว โดยอาจจะพิจารณาขายในรูปแบบโซลูชั่นให้ครอบคลุมมากขึ้น ,ธุรกิจน้ำมัน ซึ่งนำโดยบมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR) ก็จะรุกขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยล่าสุดจะเข้าไปร่วมทุนธุรกิจคลังและค้าส่งปิโตรเลียม และร่วมทุนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกในเมียนมา

ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ในส่วนของบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ก็มองเรื่องการขยายการลงทุนโดยเฉพาะในสหรัฐ ที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบโดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองในสหรัฐ ที่กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่ซึ่งอาจจะส่งผลต่อนโยบายการบริหารประเทศหรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกัน PTTGC ก็ยังมองโอกาสการลงทุนมากขึ้นในส่วนของการผลิตพลาสติกชีวภาพ ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในอนาคต จากปัจจุบันที่ PTTGC มีการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด Polybutelene Succinate (PBS) อยู่แล้ว ก็มองโอกาสที่จะขยายไปยังการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด Polylactic Acid (PLA) ซึ่งจะต้องพิจารณาทั้งในด้านของวัตถุดิบ ,การตลาด และคู่แข่งด้วย

สำหรับประเด็นการลงทุนใหม่ในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) นั้น เห็นว่าอาจจะยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม หลังจากที่เคยเกิดกรณีการฟ้องร้องเป็นคดีก่อนที่จะมีการถอนเรื่องออกไป แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องกฎระเบียบ ประกอบกับการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศเพื่อนบ้านอื่นอย่างมาเลเซียและเมียนมา ก็มีพัฒนาการที่ดี โดยมีการค้นพบปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น

นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับกระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาเพื่อคัดเลือกประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของ ปตท. เพื่อเข้าดำรงตำแหน่งแทนตนที่จะครบวาระในเดือนพ.ค.63 นั้น คาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงปลายไตรมาส 4/62 ถึงต้นไตรมาส 1/63 เนื่องจากยังมีกระบวนการที่จะต้องส่งเรื่องไปให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลัง พิจารณาเรื่องสัญญาจ้างที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 เดือน

"น่าจะเริ่มได้ปลายไตรมาส 4 หรือต้นไตรมาส 1 ปีหน้า ก็ต้องเผื่อไว้เล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องสำคัญในการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงเพราะว่าต้องได้คนที่เก่งและดีจริง ๆ สามารถทำงานร่วมเป็นทีมได้ ส่วนว่าใครเป็นใครอย่างไรก็แล้วแต่คณะกรรมการ ผมก็สงวนสิทธิในการออกเสียง แต่ก็ได้เตรียมผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานด้วยกันในกลุ่มปตท.ให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะพร้อมได้ในเวลานี้"นายชาญศิลป์ กล่าว

อนึ่ง นายชาญศิลป์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.61 โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 1 ปี 8 เดือน นับจากวันที่ได้รับการแต่งตั้ง เนื่องจากจะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 12 พ.ค.63

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องการที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของโครงการโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงภาคตะวันตกแห่งใหม่ 2 โรง ขนาดกำลังผลิตรวม 1,400 เมกะวัตต์ ที่รัฐบาลให้สิทธิบมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) เป็นผู้ได้ดำเนินการนั้นยังไม่สามารถลงนามสัญญาได้ เนื่องจากผู้พัฒนาโรงไฟฟ้ายังไม่สามารถลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับปตท.นั้น นายชาญศิลป์ ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับปตท. และการลงนามใด ๆ คงต้องรอรัฐบาลใหม่เป็นผู้ตัดสินใจ โดยผู้พัฒนาโครงการและรัฐบาลจะต้องมีข้อสรุปให้เรียบร้อยก่อน ในส่วนของปตท.ก็พร้อมที่จะขายก๊าซฯให้อย่างแน่นอน เพราะมีระบบท่อก๊าซฯเชื่อมระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกซึ่งจะสามารถส่งก๊าซฯมายังโรงไฟฟ้าได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ