บล.เออีซี (AEC) ระบุว่าแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังคงผันผวนในกรอบแคบ ๆ แม้มีปัจจัยบวกจากสภาพคล่องทางการเงินที่เพิ่มขึ้นมาก หลังธนาคารกลางของประเทศขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) ,ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางจีน (PBOC) ทั้งนี้ ในช่วงสั้นคาดหุ้นกลุ่มพลังงาน ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกแรงขายทำกำไร หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ออกมาปรับลดประมาณการความต้องการน้ำมันดิบโลกในปี 63 ลง ประกอบกับในช่วงสัปดาห์นี้ เริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศงบช่วงไตรมาส 2/62 ของหลายบริษัท ซึ่งยอมรับว่าผลการดำเนินงานอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบของสงครามการค้าในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้นักลงทุนจับตาตัวเลขด้านการบริโภคของจีน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และยอดขายภาคค้าปลีก เพื่อประเมินโอกาสที่จีนจะเพิ่มความเข้มข้นของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และรอติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ก.ค. ซึ่งจากที่หลายฝ่ายออกมาคาด พร้อมให้น้ำหนักการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งสำหรับการประชุมในครั้งนี้ และมีโอกาสอีกว่า 4.2% ที่จะลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้
"จากแรงกดดัน กรณีเม็ดเงินต่างชาติ ที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกมาตรการคุมการเก็งกำไรค่าเงินบาท อีกทั้งยังมีโอกาสที่ ธปท. จะลดดอกเบี้ยตามภูมิภาค ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะลงผลเชิงลบต่อหุ้น Big Cap แต่ในทางกลับกัน ยังมีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย กลับเข้ามามีแรงเก็งกำไรอีกครั้ง เนื่องจากความชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 25 ก.ค.นี้ รวมถึงการแจ้งงบ Q2 ของกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชี้วัด สำหรับแนวโน้มกำไรของหุ้นในกลุ่ม Real Sector ที่ออกมาจะประกาศหลังกลุ่มธนาคาร ออกมาประกาศงบเป็นที่เรียบร้อย"เออีซี ระบุ
เออีซี ระบุอีกว่า ฝ่ายวิจัยแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ราคาน่าดึงดูด เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันที่ซื้อขาย P/BV ต่ำเพียง 1.04 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังช่วง 3 ปี ที่ 1.19 เท่า อีกทั้ง หลังมีการรายงานแบบ ธ.พ.1.1 พบหุ้นในกลุ่มธนาคาร ที่มีอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อโดดเด่น ได้แก่ KKP คาดว่าเพิ่มขึ้น 10.2% จากปีก่อน และ KTB เพิ่มขึ้น 6.6% จากปีก่อน
ส่วนหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ ในการเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้น เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายวิจัย แนะนำหุ้นที่ยังคงมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ หุ้น BJC , SEAFCO , DCC และกลุ่มค้าปลีก ซึ่งจัดเป็นกลุ่ม Defensive Stock ซึ่งท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น ทางฝ่ายวิจัย จึงเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูด ประกอบกับกำไรช่วงครึ่งหลังปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตต่อ จึงแนะนำ หุ้น ASK