ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) ที่ระดับ "BBB+" พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต "Positive" หรือ "บวก" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วย โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่จะใช้ทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทที่ประกาศผลไปเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2562 เนื่องจากบริษัทต้องการเพิ่มมูลค่าหุ้นกู้ที่จะออกจำหน่าย ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้นี้ไปใช้สำหรับการลงทุนใหม่ ๆ ของบริษัท
อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreements -- PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตลอดจนการมีอัตรากำไรที่สูงจากส่วนเพิ่มของราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และการมีต้นทุนเชื้อเพลิงที่สามารถแข่งขันได้ทั้งจากเชื้อเพลิงขยะ (Refuse-derived Fuel --RDF) และความร้อนทิ้ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากการมีความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูงของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะและโครงสร้างหนี้สินต่อส่วนทุนที่เริ่มจะเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนใหม่ ๆ
บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ เป็นบริษัทย่อยของ บมจ. ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) (ได้รับอันดับเครดิต "BBB+/Positive" จากทริสเรทติ้ง) เมื่อพิจารณาถึงสถานะเฉพาะของบริษัทโดยไม่รวมบริษัทแม่แล้ว (Stand-alone Basis) บริษัทได้รับอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ "A" ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าของบริษัทแม่ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทมีกรอบจำกัดที่จะต้องอยู่ในระดับไม่เกินอันดับเครดิตของบริษัทแม่ซึ่งปัจจุบันอันดับเครดิตของบริษัททีพีไอโพลีนอยู่ที่ระดับ "BBB+" ทั้งนี้ วิธีการดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบวิธีการจัดอันดับเครดิตแบบกลุ่มของทริสเรทติ้ง
โรงไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 440 เมกะวัตต์ได้เริ่มดำเนินการครบหมดทุกโรงแล้วและคาดว่าจะสามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทที่มั่นคงได้อย่างเต็มที่ประมาณ 6,500 ล้านบาทต่อปีในปี 2563 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนกำไรดังกล่าวจะเริ่มลดลงในปี 2565 เนื่องจากการหมดอายุของส่วนเพิ่มของราคารับซื้อไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงขยะ 2 โรงซึ่งมีกำลังการผลิตที่ 20 เมกะวัตต์และ 60 เมกะวัตต์
หนี้สินทางการเงินของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในระยะอันใกล้นี้เนื่องจากบริษัทได้เข้าร่วมการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะในกรุงเทพฯ หลายโครงการ อีกทั้งยังวางแผนจะพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอีก 1 แห่งในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของและงบดุลที่มีหนี้สินต่ำน่าจะสามารถรองรับการลงทุนเหล่านี้ได้ โดยทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อEBITDA ของบริษัทว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Positive" หรือ "บวก" สะท้อนถึงความคาดหวังในการฟื้นตัวของสถานะทางการเงินของบริษัทแม่หลังจากที่โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ของบริษัททุกโรงได้เริ่มปฏิบัติการอย่างเต็มที่
ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะในการเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของบริษัททีพีไอ โพลีนต่อไป ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์แบบบริษัทแม่และบริษัทลูก การเปลี่ยนแปลงใดใดที่มีต่ออันดับเครดิตของบริษัทแม่ก็จะส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นอย่างมากจนทำให้สถานะทางการเงินของกลุ่มมีความเข้มแข็งขึ้น ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าต่ำกว่าที่คาดไว้ หรือหากบริษัทมีการลงทุนโดยการก่อหนี้จำนวนมาก จนส่งผลให้หนี้สินในงบการเงินรวมของบริษัททีพีไอ โพลีน เพิ่มขึ้นอย่างมากตามไปด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากทริสเรทติ้งมีการปรับลดอันดับเครดิตของบริษัททีพีไอ โพลีน