นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.บีฟิท(BSEC) มั่นใจว่าในปี 51 บริษัทจะมีกำไรสุทธิสูงกว่าปี 50 ที่มีกำไร 139 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้นตามส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ที่บริษัทได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 5% จาก 3.5% ในปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนรุกขยายฐานลูกค้ารายย่อย และลูกค้าที่ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต รวมทั้งปรับปรุงบทวิจัยให้ครอบคลุมหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็กที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้น
ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ(IB) บริษัทเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่ยื่นเข้าโครงการ Fast Track เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจำนวน 14 บริษัท คาดว่าบางส่วนจะเข้าจดทะเบียนได้ทันภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้รายได้จากธุรกิจ IB เติบโต 100% โดยลูกค้าที่น่าจะเข้าจดทะเบียนในเร็ว ๆ นี้ ได้แก่ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ คาดจะเข้าจดทะเบียนภายในไตรมาส 2/51 และ บมจ.ไทยง้วนเอทานอล ก็จะเข้าจดทะเบียนในปีนี้ เป็นต้น
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตร 3 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2/51 หรือไตรมาส3/51 โดยพันธมิตรที่เจรจามีทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในเอเชียและยุโรป
"ตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรใหม่ ที่เราอยากเป็นรายที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด และส่งเสริมธุรกิจบริษัทให้เติบโต ล่าสุด บล.ฟาร์อีสท์ ก็ได้ธนาคารจากเกาหลีเข้ามาเป็นพันธมิตร ซึ่งเป็นแนวทางให้โบรกเกอร์อื่น และบีฟิทก็ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดเสรี" นายประสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 51 บริษัทพยายามกระจายรายได้จากส่วนอื่น อาทิ ตลาดอนุพันธ์(TFEX) การทำชอร์ตเซล และ ธุรกิจธุรกิจยืมและให้ยืมหลักทรัพย์(SBL) นอกเหนือจากรายได้หลักที่มาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยบริษัทอยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) และ ธุรกิจ SBL
นอกจากนี้ บริษัทยังมีพอร์ตลงทุน ที่ปัจจุบันมีอยู่ 500 ล้านบาท และได้มีการดึงตัวทีมบริหารพอร์ตลงทุนจากบริษัทหลักทรัพย์อื่นที่บริหารพอร์ตได้ดี มาบริหารพอร์ตลงทุนของบริษัท จึงคาดว่าในปีนี้พอร์ตลงทุนของบริษัทจะมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/เสาวลักษณ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--