นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งหลังปีนี้น่าจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดวันที่ 19-29 ก.ค. 62 บริษัทฯ ได้จัดงานโฮมโปรแฟร์ ครั้งที่ 14 ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยตั้งเป้าหมายยอดขายภายในงานไว้ที่ 550 ล้านบาท
ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีก็เตรียมจัดกิจกรรมเพิ่มเติม ทั้งการจัดงานครบรอบ 23 ปีโฮมโปร ซึ่งจะจัดขึ้นทั่วประเทศ, การจัดงานโฮมโปร EXPRO ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพ.ย.62 และการจัดงานแฟร์ ในหัวเมืองใหญ่ เช่น จังหวัดขอนแก่น เมืองหาดใหญ่ จังหวัดเชียงใหม่ และในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนส.ค.-พ.ย.62
นอกจากนี้ คาดว่ารัฐบาลใหม่น่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ โดยปีนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้จะเติบโต 5-7% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 66,049 ล้านบาท โดยคาดรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อนที่ร้อนมากกว่าทุกปี ทำให้ยอดขายเครื่องปรับอากาศเติบโตขึ้น และฝุ่นละอองที่สูงเกินค่ามาตรฐาน ทำให้เครื่องฟอกอากาศขายดี
ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มรวม 4 สาขา มูลค่าการลงทุนรวมราว 1,130-1,330 ล้านบาท ได้แก่ สาขาภายใต้แบรนด์ HomePro (โฮมโปร) จำนวน 2 สาขา ได้แก่ ร้าน HomePro ในจังหวัดมุกดาหาร มูลค่าการลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้บริการในช่วงเดือนส.ค.นี้ และร้าน HomePro (โมเดล S ขนาด 1,000-2,000 ตารางเมตร) ภายในโครงการสามย่านมิตรทาวน์ มูลค่าการลงทุนประมาณ 20-30 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนก.ย.นี้ ส่วนอีก 2 สาขา จะเป็นการขยายสาขาภายใต้แบรนด์ เมกาโฮม (MEGA HOME) ได้แก่ ซึ่งใช้งบลงทุนประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อสาขา
อย่างไรก็ตามจะส่งผลให้สิ้นปี 62 มีสาขารวมทั้งสิ้น 113 สาขา จากปัจจุบันที่มีจำนวน 109 สาขา แบ่งเป็น สาขาภายใต้แบรนด์เมกาโฮม จำนวน 12 สาขา และสาขาภายใต้แบรนด์โฮมโปร จำนวน 97 สาขา
สำหรับการขยายสาขาไปยังต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงมีการศึกษาขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงเน้นศึกษาในกลุ่มประเทศ CLMV (ลาว, เวียดนาม, เมียนมา, กัมพูชา) จากปัจจุบันที่มีสาขาโฮมโปรในประเทศมาเลเซียแล้วจำนวน 6 สาขา ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ยังไม่ถึง 1%
ส่วนสินค้าภายใต้แบรนด์ บริษัทฯ ยังตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่เป็นแบรนด์เฉพาะของบริษัทเป็น 20-25% ในช่วง 3-5 ปีจากนี้ จากปัจจุบันมีสัดส่วนที่ 18-19% ของสินค้าทั้งหมด