นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) กล่าวว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้เหลือโตไม่ต่ำกว่า 5% แต่ไม่ถึง 10% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 5-10% เนื่องจากครึ่งปีแรกมีรายได้ 5,802 ล้านบาท ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายเฉลี่ยต่ำลงและการส่งออกลดลง โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศอินโดนีเชียที่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าและเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อยอดส่งออกของบริษัท 5-10% ขณะที่ตลาดกลุ่ม CLM นั้น ตลาดเมียนมาและกัมพูชายังคงเติบโตดี ยกเว้นตลาดลาวที่มีสัญญาณชะลอตัว เนื่องจากสถานะขาดดุลต่อเนื่องของรัฐบาล และการอ่อนค่าของเงินกีบ
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 17% และยอดขายในประเทศ 79% และที่เหลือมาจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหนองแค 3.5%
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทยังเผชิญกับการแข่งขันด้านราคากระเบื้องที่รุนแรงมากขึ้น โดยครึ่งปีหลังนี้มองว่าการแข่งขันด้านราคายังคงเข้มข้นไปจนถึงสิ้นปี ตามปัจจัยค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า ส่งผลต่อการนำเข้ามีต้นทุนลดลง แต่อย่างไรก็ตามบริษัทก็มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้แข่งขันได้
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทคาดรายได้น่าจะเติบโตได้ 5-10% โดยเตรียมขยายตลาดไปยังประเทศฟิลิปปินส์และมาเลเซียเพิ่ม รวมถึงเพิ่มยอดขายในประเทศ CLM ขณะที่ตลาดในประเทศจะรักษายอดขายให้อยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม เนื่องจากมองว่าตลาดกระเบื้องครึ่งปีหลังนี้น่าจะยังทรงตัว จากครึ่งปีแรกตลาดกระเบื้องไม่ได้เติบโต จากมาตรการควบคุมสินเชื่อ (LTV) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้าน ทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดขายกระเบื้องเซรามิก
ขณะเดียวกันก็คาดว่าไตรมาส 3/62 ก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่าจะส่งผลบวกอย่างไร ส่วนไตรมาส 4/62 คาดว่าตลาดกระเบื้องน่าจะฟื้นตัวได้ ถ้ามีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน แต่บริษัทก็ยังเป็นกังวลกับปัญหาภัยแล้ง ที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชน
นายนำพล กล่าวว่า นอกจากนี้บริษัทยังมีการดำเนินการลดต้นทุนด้านพลังงาน ผ่านโครงการระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำและบนหลังคา เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าภายในโรงงานของบริษัท ขณะเดียวกันปัจจุบันก็อยู่ระหว่างศึกษาต่อยอดธุรกิจดังกล่าวเพื่อเชิงพาณิชย์ ให้กับกลุ่มผู้ที่สนใจในนิคมอุตสาหกรรมหนองแค ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะช่วยสร้างรายได้ในอนาคต
ส่วนกรณีที่จำนวนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ต่ำกว่าเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 15% นั้น ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้และหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ โดยเบื้องต้นมีความไปเป็นได้ทุกรูปแบบ ปัจจุบันสัดส่วน Free Float ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 6.8%