นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พริมา มารีน (PRM) เปิดเผยว่า บริษัทประเมินความต้องการใช้เรือขนส่งและกักเก็บน้ำมันดิบ (เรือ FSU) ในปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อกักเก็บและผสมน้ำมันให้ได้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำ ตามกฎข้อบังคับขององค์กรการทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO2020) ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.63 โดย PRM ได้รับประโยชน์จากกฎเกณฑ์ดังกล่าว จากการมีกองเรือ FSU ที่พร้อมรับรู้รายได้จากการให้บริการจำนวน 7 ลำ ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการใช้บริการเฉลี่ยเต็ม 100%
อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนเพิ่มเรือ FSU ลำที่ 8 ขนาดบรรทุก 300,000 DTW โดยคาดว่าจะสรุปได้ภายในไตรมาส 3/62 ซึ่งการลงทุนครั้งนี้อยู่นอกเหนือจากแผนการลงทุนเดิมที่บริษัทได้วางไว้ เนื่องจาก PRM มองเห็นสัญญาณความต้องการใช้เรือ FSU เพื่อกักเก็บและผสมน้ำมันเตาให้มีค่ากำมะถันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ IMO ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการให้บริการของเรือประเภทนี้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
"ในปีนี้เราเห็นสัญญาณการเติบโตที่ดีมากของกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บน้ำมันดิบ หรือ FSU ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดด จากอัตราค่าบริการที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้ที่สูงขึ้น ซึ่งในปีนี้เราได้ซื้อเรือเพิ่มเติมแล้ว 2 ลำ และได้เข้าให้บริการแก่ลูกค้าแล้ว โดยมีอัตราการใช้บริการเฉลี่ยเต็ม 100% แต่ยังคงมีดีมานด์ในตลาดอีกเป็นจำนวนมาก เราจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนเรือ FSU เพิ่มเติมอีก 1 ลำ ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเรือ FSU ได้เป็นอย่างดี โดยคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในไตรมาสนี้และก็พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าได้ทันที" นายชาญวิทย์ กล่าว
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า การลงทุนในครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทอีกด้วย โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจเรือ FSU จากเดิม 38% จะเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ระดับ 50% ของรายได้รวมทั้งหมดในปีนี้ ขณะที่ภาพรวมการดำเนินงาน บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ 10-15% ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงแนวทางการดำเนินงานของ PRM ที่เข้าสู่ Growth Mode อย่างชัดเจนในปีนี้