นายเดนนิส ลิม กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) โดยรวมเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปีในช่วง 3 ปี (ปี 62-64) จากปีนี้บริษัทตั้งเป้า AUM ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ 543,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 480,991 ล้านบาท โดยจะเน้นรุกกองทุนที่สามารถต่อยอดหรือสร้างผลตอบแทนที่เติบโตดีให้นักลงทุนมากขึ้น และไม่ต่อยอดกองทุนที่ไม่เติบโต จากปัจจุบันบริษัทมีกองทุนทั้งหมดประมาณ 260 กอง
ในช่วง 3 ปีนี้จะผลักดันกองทุนประมาณ 10 กอง ให้มี AUM แตะประมาณกองละ 10,000 ล้านบาท โดยบริษัทเน้นช่องทางการขายทั้งธนาคารออมสินที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในปัจจุบัน และมีสาขาทั่วประเทศสูงถึง 1,600 สาขา รวมไปถึงเจ้าหน้าที่วางแผนการลงทุนของบริษัท (IP) , พนักงานขาย (โบรกเกอร์) นอกจากนี้บริษัทจะยังมีการเพิ่มช่องทางการให้บริการลูกค้าเพิ่มเติม คือแพลตฟอร์มดิจิทัลภายในปีนี้ เพื่อที่จะเพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อและขายกองทุน
พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจบริหารจัดการกองทุนในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการเปิดบริษัทใหม่ชื่อ MFC Asset Management Singapore โดยใช้งบลงทุนหลัก 10 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้ เพื่อขยายลูกค้าในกลุ่มอาเซียน ทั้งสถาบัน และ High Net Worth ซึ่งเบื้องต้นใน 12 เดือนแรกบริษัทตั้งเป้าที่จะมี AUM ในสิงคโปร์ราว 2,000 ล้านบาท และตั้งเป้าในปี 64 จะสูงขึ้นแตะระดับ 60,000 ล้านบาท
ด้านนายสุเมธา ลิ่วเฉลิมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ของ MFC กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีนี้ว่า บริษัทยังคงเป้าหมายไว้ที่ 1,750 จุด โดยภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงผันผวน โดยรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ได้ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อที่จะประคองเศรษฐกิจ โดยการใช้มาตรการกระตุ้นทั้งการเงินและการคลัง จึงทำให้เศรษฐกิจโลกแค่ชะลอตัวลงแต่ไม่ถึงกับภาวะถดถอย โดยกรอบส่วนต่างดัชนี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจำกัดจากระดับปัจจุบัน หลังครึ่งปีแรกตลาดหุ้นบวกแรงแล้ว ซึ่งปัจจุบน P/E 16-17 เท่า แต่ Earning บริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตเพียง 7-8% ชะลอตัวลงเมื่อเทียบปีก่อนหน้านี้ที่ผ่าน ๆ มาบริษัทจดทะเบียนไทยเติบโตได้ถึง 10% ขึ้นไป
ทั้งนี้ แนะนำหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยว การบริโภค และกลุ่มพลังงาน หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากแล้ว ทำให้ราคาหุ้นถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถเข้าลงทุนได้
ส่วนมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังชะลอตัวลงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐและประเทศจีน และความไม่แน่นอนของการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการเงิน โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 62 จะขยายตัวระหว่าง 3.1-3.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำในช่วง 0.6-1.0% และคาดว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบสิ้นเดือน ก.ค. นี้ จะส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามเพื่อที่จะรักษาส่วนต่างของดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
"ตลาดหุ้นไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอยู่ และปรับขึ้นมาใกล้กับเป้าหมายดัชนีที่วางไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะยังไม่มีการปรับเป้าหมายดัชนีใหม่เพราะมองว่าหากจะปรับขึ้นก็จะไม่มากกว่านี้มากแล้ว เนื่องจากการเติบโตของ Earning อยู่ในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบช่วงก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามยังมองว่าเงินทุนต่างชาติมีโอกาสที่จะไหลเข้ามายังประเทศไทยต่อเนื่อง จากช่วงครึ่งปีแรกที่ไหลเข้ามาแล้ว 50,000 ล้านบาท ด้วยค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพมากในปัจจุบัน"นายสุเมธา กล่าว