นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC) บริษัทในเครือธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ธนาคารเตรียมเซ็นสัญญาเข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเพิ่มอีก 3 ธุรกิจ จากทั้งหมด 4 ธุรกิจ โดยสตาร์ทอัพที่ธนาคารสนใจเข้าลงทุนนั้น มีหนึ่งธุรกิจที่ได้เซ็นสัญญาไปแล้วและเตรียมที่จะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพและเปิดตัวไปแล้ว 2 ธุรกิจ ได้แก่ Jitta ที่เป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทยด้าน Wealthtech และ Horganice สตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่ให้บริการระบบบริหารจัดการหอพักรูปแบบออนไลน์
ขณะที่ทั้งปีนี้ธนาคารมีแผนจะเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งหมด 6 ธุรกิจ ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพไทย 50% และสตาร์ทอัพต่างชาติ 50% เงินลงทุนราว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจุบันบริษัทใช้เงินลงทุนไปแล้วราว 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมการลงทุนในปีนี้แล้ว จากเงินลงทุนทั้งหมด 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยแนวโน้มการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพระยะต่อไปยังคงสนใจลงทุนในสตาร์ทอัพทุกประเภทที่สามารถช่วยธนาคารพัฒนาประสิทธิภาพการบริการและเพิ่มความสามารถการดำเนินงานให้กับธนาคารได้ และแนวโน้มของการลงทุนจะไปที่สตาร์ทอัพต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เพราะสตาร์ทอัพต่างชาติมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นมากกว่าสตาร์ทอัพไทยที่ปัจจุบันถือว่ายังไม่ค่อยโตมากนัก แต่ธนาคารมีโครงการ KATALYST ไว้ช่วยผลักดันสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตขึ้น
ด้านนายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ KBANK กล่าวว่า การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะฟินเทคเป็นสิ่งที่ธนาคารไม่สามารถเลี่ยงได้ในปัจจุบัน ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้ธนาคารต้องปรับตัว พร้อมกับการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารในการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพของการทำงานและการให้บริการตลอดจนช่วยแก้ปัญหาที่หลากหลายของลูกค้าที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจหลังเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ปัจจุบันธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงของการเข้ามามีบทบาทของเทคโนโลยี คือ ธุรกิจค้าปลีก จากการเข้ามาของอีคอมเมิร์ช ซึ่งลูกค้าชาวไทยเริ่มหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น และมีผู้ผลิตสินค้าหันไปขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้ธนาคารได้มีส่วนเข้าไปเป็นพันธมิตรให้กับธุรกิจค้าปลีกรายหนึ่ง เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการให้มีความทันสมัยมากขึ้นและลูกค้าได้รับความสะดวกมากขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารได้ร่วมกับบิ๊กซีในการพัฒนาช่องทางการชำระเงินในสาขาของบิ๊กซีในรูปแบบ Scan & Go ที่เป็นแคชเชียร์ในรูปแบบดิจิทัลที่ไม่มีพนักงาน และลูกค้าสามารถใช้บริการชำระเงินผ่านการสแกน QR Code หรือจ่ายผ่านบัตรเดบิตและเครดิตได้จากทุกธนาคาร ซึ่งจะเริ่มให้บริการสาขาแรกที่สามย่านมิตรทาวน์ ในช่วงเดือนต.ค.นี้ ก่อนที่จะนำไปใช้บริการในสาขาอื่นของบิ๊กซีต่อไป นอกจากนี้ธนาคารยังอยู่ระหว่างทดสอบการให้บริการใช้ฐานข้อมูลจากต่างธนาคารเพื่อเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ผ่านการใช้ E-KYC ที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะมี 10 ธนาคารที่จะมาเข้าร่วมในโครงการนี้