บมจ.กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส(KCAR)หนึ่งในผู้นำธุรกิจรถเช่าของไทย เตรียมลงทุน 1.2 พันล้านบาท ซื้อรถเพิ่มอีก 1.5 พันคัน เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถเช่าในปีนี้ โดยประมาณ 80% ของเงินลงทุนใหม่จะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน เนื่องจากมีสถาบันการเงิน 3-4 แห่งพร้อมให้การสนับสนุน อีกทั้งอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ยังต่ำ
นายพิเทพ จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ KCAR เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์" ว่า ปีนี้บริษัทฯ มีแผนใช้เงินลงทุนซื้อรถใหม่สูงกว่าปี 50 ที่ลงทุนไป 1 พันล้านบาท เพื่อหนุนรายได้ให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากเงินกู้เป็นหลัก เนื่องจาก D/E ของบริษัทอยู่ที่ 2.2 เท่าถือว่าต่ำมากหากเทียบกันในอุตสาหกรรมนี้ที่มี D/E ประมาณ 3-4 เท่า
"กู้รอบนี้แล้วก็ยังมี Room ให้เรากู้เพิ่มได้อีก แม้ว่าจะทำให้ D/E ปีนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยอมเพื่อขยายการลงทุนที่จะมาสนับสนุนให้รายได้เติบโต"นายพิเทพ กล่าว
นายพิเทพ กล่าวว่า บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องระดมทุนด้วยวิธีเพิ่มทุนหรือออกหุ้นกู้ รวมถึงการเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุน เนื่องจากยังสามารถเติบโตและขยายการลงทุนได้ด้วยตัวเองทั้งจากเงินทุนหมุนเวียนและการกู้ยืมสถาบันการเงิน
"ที่เคยเจรจาพันธมิตรกันเมื่อปีที่แล้ว ล้มดีลไปแล้ว เนื่องจากเชิงนโยบายมีความแตกต่างกัน สัดส่วนการถือหุ้น...แต่ก็ยังมีรายใหม่ๆติดต่อมาบ้าง แต่คงยังไม่มีการสรุปในเร็วๆนี้ ตอนนี้เรายังสามารถโตได้ด้วยตัวเอง"นายพิเทพ กล่าว
*คาดรายได้ปี 51 โต 10% ขึ้นไปและโตแซงอุตสาหกรรม
นายพิเทพ คาดว่า รายได้และกำไรของ KCAR ในปี 51 จะเติบโตในทิศทางเดียวกันกับปีก่อน คือมีอัตราการเติบโตสูงกว่า 10% ขึ้นไป โดยในปี 50 รายได้เติบโตประมาณ 12% จาก 995.32 ล้านบาทในปี 49 และกำไรก็เพิ่มในอัตราส่วนใกล้เคียงกับรายได้ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมธุรกิจรถเช่าที่คาดว่าจะเติบโตราว 7-8%ในปีนี้
และ บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะพยายามรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่ 10% ของตลาดรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
"ปีนี้เราจะโตมากกว่าอุตสาหกรรมที่มีอัตราเติบโตราว 7-8% ที่เติบโตน้อยกว่าปีก่อนๆ ที่ตลาดโตประมาณ 10% อาจจะเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดีนัก ทำให้จำนวนการใช้รถของลูกค้ามีจำนวนไม่เยอะมากนัก แต่ก็ยังโชคดีที่มีลูกค้าที่เปลี่ยนจากการซื้อมาเป็นการเช่าอีกเยอะ ทำให้ตลาดยังสามารถเติบโตไปได้"นายพิเทพ กล่าว
อีกทั้งความสามารถในการแข่งขันของบริษัทที่บริการครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การจัดซื้อรถรุ่นใหม่จากบริษัทในเครือ ส่วนใหญ่จะเป็นยี่ห้อ โตโยต้า,นิสสัน และมีส่วนงานซ่อมบำรุงของเราเองโดยตรง นอกจากนั้นยังมีธุรกิจ Used Car รับรถที่อายุการใช้งานครบกำหนดไปจำหน่ายได้อีก ทั้งการบริการและการทำราคา-ต้นทุนก็ทำได้ดีเช่นกัน
ปัจจุบัน 80% ของลูกค้า KCAR เป็นบริษัทเอกชน และอีก 20% เป็นรัฐวิสาหกิจและราชการ ซึ่งบริษัทจะพยายามรักษาสัดส่วนลูกค้าให้อยู่ในระดับนี้ ขณะที่ลูกค้าต่างประเทศมีสัดส่วนประมาณ 60-70%
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--