นางชาริตา ลีลายุทธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ไทยสมายล์ได้จัดทำแผน 5 ปี (2563-2567) ซึ่งมีการวางแผนงานร่วมกับบมจ.การบินไทย (THAI) ทั้งการขาย การการจัดเส้นทางการบิน เพิ่มจุดบิน 2 เส้นทาง เช่น เชียงใหม่-เกาสง และ ไฮเดอราบัด (อินเดีย) ซึ่งไทยสมายล์จะมีโครงการ "มนตรา 2" คล้ายๆกับของการบินไทยเช่นกัน
ทั้งนี้ ไทยสมายล์ มียอดขาดทุนสะสมประมาณ 8,000 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น ติดลบ 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้ได้หารือกับการบินไทยในการเพิ่มทุนประมาณ 5,000 ล้านบาทเพื่อล้างขาดทุนสะสม และลดส่วนของผู้ถือหุ้นที่ติดลบ โดยปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 1,800 ล้านบาท
นางชาริตา กล่าวว่า ไทยสมายล์ต้องเสนอแนวทางในการปรับโครงสร้างหนี้จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนไตรมาส 4/62 ก่อนที่จะมีการบังคับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน (TFRS 9) ในวันที่ 1 ม.ค.63 ซึ่งจะสรุปแผนนำเสนอคณะกรรมการไทยสมายล์ในเดือนส.ค.นี้ และเสนอให้คณะกรรมการ THAI พิจารณาต่อไป
"ไทยสมายล์เป็นหนี้การบินไทย แนวทางการลดหนี้คือให้การบินไทยเพิ่มทุน หากการบินไทยไม่เพิ่มทุน ตามมาตรฐานทางบัญชีใหม่ หนี้จะกลายเป็นหนี้สูญฯ ซึ่งการบินไทยจะต้องพิจารณาว่าจะสามารถเพิ่มทุนได้เท่าไร เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทไปด้วยกันได้ ซึ่งตามแผนปรับโครงสร้าง ไทยสมายล์จะเริ่มมีกำไรตั้งแต่ปี 2563"นางชาริตา กล่าว
นางชาริตา กล่าวว่า จุดแข็งของไทยสมายล์คือบริการ และต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ รวมถึงการตลาด ที่การบินไทยได้เข้ามาช่วยขายตั๋วและจองที่นั่งกับไทยสมายล์มากขึ้น นอกจากนี้ จะมี การ Re-Process รวมถึงการใช้เครื่องบินให้คุ้มค่า หรือ Aircraft Utilizationที่เหมาะสม
ปัจจุบัน ไทยสมายล์ มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย ที่ 80% โดยเส้นทางในประเทศ มี Cabin Factor ราว 85% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม ทำให้ผลประกอบการในช่วง 6 เดือนปี 2562 มีผลกำไรจากการดำเนินงานเล็กน้อย โดยมีผู้โดยสารเฉลี่ยประมาณ 3.6 แสนคนต่อเดือน เพิ่มจากปีก่อนที่มีผู้โดยสารเฉลี่ยที่ 3.1-3.2 แสนคนต่อเดือน โดยทั้งปี 62 คาดว่าจะมีผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนต่อปี