นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชีวาทัย (CHEWA) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ โดยบริษัทยังได้ร่วมมือกับบริษัท COMMAX Company Limited เพื่อนำเทคโนโลยี Home Automation เช่น Smart Home Control, Gate Barrier Camera, Bluetooth Lift Control พร้อมฟังก์ชันเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกโครงการดังกล่าวอีกมากมาย และนอกจากโครงการดังกล่าวบริษัทยังได้ร่วมมือกับ COMMAX เพื่อนำเทคโนโลยี Home Automation เข้าไปใช้ในโครงการชีวาทัย ปิ่นเกล้า อีกด้วย
โดยบริษัท COMMAX Company Limited เป็นผู้เชี่ยวชาญ และผู้นำทางด้านระบบ Intercom, Video Phone, Smart Home System (IoT) ของโลก โดยบริษัทได้มีการเปิดมามากกว่า 50 ปี และมีตัวแทนจำหน่ายสินค้ามากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก และ COMMAX ยังมีโรงงานผู้ผลิต Technology and Knowledge เป็นของตัวเอง ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าทั้ง Hardware and Software ได้ตามความต้องการของลูกค้าบริษัท พร้อมทั้งยังได้มีรางวัลต่างๆ มากมาย ได้แก่ Reddot Design Award, iF Design Award, Good Design Award, IDEA Design Award
สำหรับโครงการชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ มูลค่า 1.7 พันล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมแบบอาคารสูง 25 ชั้น โดยมีจำนวนห้อง 649 ยูนิต พร้อมร้านค้า 5 ร้านในโครงการ ซึ่งมีที่จอดรถอยู่ที่ 49% ของโครงการ พร้อมทั้งโครงการดังกล่าวมีพื้นที่โครงการ 5-0-42.1 ไร่ อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการอีกมากมาย ได้แก่ Stylish Lobby, Sky Infinity Edge Pool, Serene Garden, Private Vertical Garden, Active Studio, Inspirational Library,Co-Learning& Co-Working Hub, Lifestyle Shop, Home Automation และ Shuttle Service รวมทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัย ได้แก่ ระบบคีย์การ์ดบริเวณทางเข้าอาคาร, ระบบกล้อง CCTV พร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
พร้อมทั้งยังมีสถานที่ใกล้เคียง ได้แก่ เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์, เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว,เมเจอร์รัชโยธิน,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีปทุม,โรงพยาบาลวิภาวดี, โรงพยาบาลเปาโล,รถไฟฟ้าสถานีแยกเกษตร, รถไฟฟ้าสถานีบางบัว และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เป็นต้น
สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งหลังของปี 62 โดยในไตรมาส 3/62 บริษัทวางแผนเปิดโครงการ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ มูลค่าโครงการ 1.7 พันล้านบาท โครงการชีวารมย์ นครอินทร์ มูลค่าโครงการ 1.59 พันล้านบาท และโครงการชีวา บิซ โฮม เอกชัย-บางบอน มูลค่าโครงการ 765 ล้านบาท
ส่วนในไตรมาส 4/62 จะเปิดตัวจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการชีวาทัย ปิ่นเกล้า มูลค่า 1.58 พันล้านบาท โครงการฮอลล์มาร์ค จรัญ 13 มูลค่าโครงการ 430 ล้านบาท โครงการชีวาโฮม กรุงเทพ-ปทุมธานี มูลค่าโครงการ 903 ล้านบาท และโครงการ ฮาร์ท สุขุมวิท 36 มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท
นายบุญ กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยปีนี้ว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายประการ ทั้งมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐฯที่อยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงภาษี ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่คาดว่าจะประกาศใช้ในปี 63 ซึ่งยังคงอยู่ขั้นตอนการวางแผนและยังไม่เสร็จสิ้น ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจากการที่ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้นด้วย และตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯยังมีการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน ทำให้ต้องระมัดระวังในการสรรหาที่ดินที่มีศักยภาพมากขึ้น รวมไปถึงการมองหาที่ดินเพื่อขยายตัวไปยังหัวเมืองใหญ่ๆ โดยมีแผนการสำรวจข้อมูลการขายและการตลาดในย่านนั้นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้ออย่างละเอียด
"ปฏิเสธไม่ได้ว่าปีนี้เป็นปีที่ท้าทายสำหรับดีเวลอปเปอร์มาก และคาดว่าจะได้เห็นสงครามราคาในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อเร่งระบายสินค้าคงเหลืออย่างแน่นอน แต่สำหรับชีวาทัยเราไม่มีนโยบายเทขายตัดราคา เนื่องด้วยบริษัทสามารถบริหารจัดการสินค้าคงเหลือได้ดี โดยจะเห็นได้ว่าหลายๆ โครงการได้ชะลอการเปิดตัวโครงการไปบ้างเพื่อรอเวลาที่เหมาะสม ซึ่งชีวาทัยได้เตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์เพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในเชิงรับตามภาวะตลาดในปัจจุบัน"นายบุญ กล่าว
กรรมการผู้จัดการ CHEWA กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายค่อนข้างมาก หลังจากมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเม.ย.ทีผ่านมา ทำให้ภาพรวมของการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงไปอย่างมาก เนื่องจากผู้ซื้อยังคงเกิดความสับสนและตกใจมาตรการ LTV อยู่ อีกทั้งนักลงทุนที่ในตลาดก็หายไป รวมถึงลูกค้าชาวต่างชาติที่ชะลอตัวลงด้วย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
โดยกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ตลาดคอนโดมิเนียมที่เริ่มเห็นการขายที่ชะลอตัวลง และผู้ประกอบการต่างนำสินค้าออกมาลดราคากันมากเพื่อระบายสต็อกออก ทำให้ปัจจุบันการแข่งขันด้านราคาของคอนโดมิเนียมอยู่ในระดับที่สูง แต่ในส่วนของบริษัทนั้นจะไม่เข้าไปแข่งขันด้านราคากับผู้ประกอบการรายอื่น แต่จะเน้นไปที่การให้โปรโมชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆเสริมให้กับลูกค้าแทน โดยเฉพาะระบบ Home Automation ที่บริษัทร่วมกับพันธมิตรชั้นนำจากเกาหลีใต้ ซึ่งแม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น 70,000-80,000 บาท/ยูนิต แต่เป็นการสร้างความแตกต่างและเป็นการชูจุดเด่นของโครงการที่นำมาเสนอให้กับลูกค้า ส่วนกลุ่มสินค้าแนวราบนั้นยังมีความต้องการซื้อจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะโครงการแนวราบระดับราคา 2.5-3 ล้านบาท ที่ลูกค้ายังคงมีการซื้อต่อเนื่อง ซึ่งมองว่าตลาดสินค้าแนวราบเป็นตลาดที่ยังคงไปได้เรื่อยๆและมีการแข่งขันที่ไม่รุนแรง แต่อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าปัจจัยที่มีผลในการช่วยฟื้นภาพรวมเองตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ฟื้นตัวกลับมาได้นั้นคงจะต้องหวังการกระตุ้นจากภาครัฐที่จะเป็นตัวหนุน ซึ่งยังคงต้องติดตามว่าภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรออกมาบ้างที่ส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมาย โดยที่ยังมั่นใจว่ายอดโอนในปีนี้ยังทำได้ตามเป้าหมายที่ 2.88 พันล้านบาท มาจากยอดโอนคอนโดมิเนียม 1.66 พันล้านบาท และยอดโอนโครงการแนวราบ 1.21 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 585 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 406 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 179 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ทั้งหมด