นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/62 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/62 บริษัทมีกำไรสุทธิ 507 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 231% และมีรายได้จากการขาย 57,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาขาย 4% และปริมาณขายเพิ่มขึ้น 2% ขณะที่มีปริมาณการกลั่นน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 206,000 บาร์เรล/วัน จาก 200,000 บาร์เรล/วัน ในไตรมาส 1 เป็นผลจากโรงงาน RDCC และโรงงานกลุ่มปิโตรเคมีกลับมาผลิตตามปกติหลังการปิดซ่อมบำรุงตามแผนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน
โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) จำนวน 5,429 ล้านบาท หรือ 9.11 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 10% จากปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้น หลังจากโรงงาน RDCC กลับมาผลิตตามปกติ แม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยืดเยื้อ IRPC มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 491 ล้านบาท (ส่วนใหญ่จากการบริหารความเสี่ยงน้ำมัน Oil Hedging) ลดลง 229 ล้านบาท เนื่องจากบันทึกค่าเผื่อการลดลงของสินค้าคงเหลือ (LCM) เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) มีจำนวน 5,920 ล้านบาท หรือ 9.94 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 4%
นอกจากนี้ IRPC มีรายได้อื่นเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากเงินค่าปรับจากการรับประกันงานก่อสร้างโครงการ UHV อย่างไรก็ตาม IRPC มีค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากการปรับเงินชดเชยให้กับลูกจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 2,304 ล้านบาท ลดลง 2% ขณะที่ต้นทุนทางการเงินลดลง และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2562 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2561 IRPC มีรายได้จากการขายสุทธิ จำนวน 111,976 ล้านบาท ลดลง11% สาเหตุหลักเกิดจากราคาขายเฉลี่ยลดลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยอัตราการกลั่นน้ำมันอยู่ที่ 203,000 บาร์เรล/วัน ลดลง 8,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากโรงงาน RDCC หยุดผลิตเป็นเวลา 28 วัน ในไตรมาส 1 และมี Market GIM จำนวน 10,387 ล้านบาท หรือ 8.90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ลดลง 39% เนื่องจากส่วนต่างราคาปิโตรเลียมและปิโตรเคมีปรับตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยืดเยื้อ การเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่ในภูมิภาค และอัตราการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดย IRPC มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 1,211 ล้านบาท ลดลง 1,208 ล้านบาท ส่งผลให้ Accounting GIM มีจำนวน 11,598 ล้านบาท หรือ 9.94 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ลดลง 40% ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ส่งผลให้มี EBITDA อยู่ที่ 4,659 ล้านบาท ลดลง 63% อย่างไรก็ตาม IRPC มีต้นทุนทางการเงินลดลงและมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีกำไรสุทธิจำนวน 660 ล้านบาท ลดลง 90% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
นายนพดล กล่าวอีกว่า IRPC คำนึงถึงการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยได้ออกมาตรการเพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก บริหารสภาพคล่องของธุรกิจด้วยการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้เหมาะสม โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2562 IRPC มีเงินสด คงเหลืออยู่ที่ 1,915 ล้านบาท และมีงบลงทุนที่มีแผนการดำเนินงานชัดเจน (committed) จำนวน 71,043 ล้านบาท
นอกจากนี้ IRPC มุ่งเน้นการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าด้านการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Grade) ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ ด้วยการพัฒนานวัตกรรมเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนที่มีความหนาแน่นสูง (HDPE) เกรดพิเศษ P301GR มีคุณสมบัติการใช้งานที่โดดเด่นเหมาะสำหรับการผลิตทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ ที่ช่วยลดอุณหภูมิใต้แผงโซลาร์เซลล์ ส่งผลให้ระบบผลิตกระแสไฟฟ้ามีประสิทธิภาพ โครงการนี้จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการด้านพลังงานทดแทนของประเทศ โดย IRPC มองถึงการต่อยอดในโครงการโซลาร์ลอยน้ำของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศปี 2561-2580 (PDP2018)
สำหรับแนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 3/62 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบ 60-67 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความร่วมมือในการขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ออกไปอีก 9 เดือน โดยจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2563 และสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ รวมถึงช่วงฤดูเฮอริเคนในสหรัฐฯ ที่อาจทำให้การผลิตน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตในอ่าวเม็กซิโกลดลง
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบจากกำลังการผลิตของสหรัฐฯ และการส่งออกน้ำมันดิบที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากโครงการท่อขนส่งน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตเพอร์เมียนไปยังอ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นท่าส่งออกน้ำมันดิบหลักของประเทศ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
แนวโน้มตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 3/62 คาดว่าความต้องการเม็ดพลาสติกจะปรับตัวสูงขึ้นจากการยุติการเพิ่มมาตรการทางภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลังการประชุม G20 ในวันที่ 28-29 มิถุนายน 2562 ประกอบกับโรงกลั่นและปิโตรเคมีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ในเท็กซัสเกิดไฟไหม้ซึ่งกระทบการผลิตผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์โดยตรง รวมถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อลดผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และภายในประเทศจีนเองก็มีการปรับตัวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เช่น การลดภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ผลิตจาก 16% เหลือ13% และการเพิ่มงบประมาณรายจ่าย เป็นต้น ขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ลดลงในช่วงฤดูฝน รวมถึงกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากโรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ในประเทศมาเลเซียที่จะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงปลายปี และประเด็นการเพิ่มมาตรการทางภาษีหลังจากสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนยังไม่ได้ซื้อสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นตามที่สัญญาเป็นปัจจัยกดดันราคาผลิตภัณฑ์