ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. อควา คอร์เปอเรชั่น (AQUA) ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในการเป็นผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย ตลอดจนรายได้ประจำจำนวนมากจากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือรายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากปัจจัยหลายประการ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตในอัตราที่เชื่องช้าซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายโฆษณาและสภาวะตลาดในธุรกิจติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีผลงานเป็นที่ยอมรับ
บริษัทมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยมานานกว่า 10 ปี โดยเป็นผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกอาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย ในระหว่างปี 2559-2561 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 5%-6% เมื่อพิจารณาจากยอดขาย อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทก็ยังถือว่าค่อนข้างเล็กและห่างจากส่วนแบ่งทางการตลาดของ บมจ. แพลน บี มีเดีย (PLANB) ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างมาก โดยบริษัทแพลน บี มีเดีย มีส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 2561 ประมาณ 40% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในปัจจุบันเอาไว้ได้ในปีถัด ๆ ไป
เปลี่ยนมาเป็นการมุ่งเน้นป้ายโฆษณา LED
บริษัทได้ดำเนินการเปลี่ยนป้ายโฆษณานิ่งแบบดั้งเดิมมาเป็นป้ายจอ LED (Light-emitting Diode) มากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยรายได้ที่มาจากป้ายจอ LED มีสัดส่วนคิดเป็น 53%-55% ในระหว่างปี 2561 จนถึงในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 27%-33% ในปี 2558-2560 ในขณะที่รายได้จากป้ายนิ่งแบบดั้งเดิมคิดเป็นสัดส่วนที่เหลือ
บริษัทวางแผนจะขยายเครือข่ายป้ายจอ LED โดยการเพิ่มปริมาณโฆษณาบนจอ LED ไปยังในพื้นที่สำคัญ ๆ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
รายได้ประจำช่วยทำให้อัตรากำไรและกระแสเงินสดคงที่
บริษัทมีรายได้ประจำจากพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 40.1% ใน บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิตองค์กรระดับ "BBB-/Stable" จากทริสเรทติ้ง") ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านการให้บริการสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย
รายได้ประจำช่วยทำให้อัตรากำไรและกระแสเงินสดของบริษัทมีเสถียรภาพ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดประจำจากสัญญาเช่าระยะยาวในธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทั้งหมดประมาณ 350-360 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 โดยรายได้ค่าเช่าคาดว่าจะเติบโต 1%-3% ต่อปีตามอัตราการปรับค่าเช่าในสัญญา อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจคลังสินค้าน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 92% ในระหว่างปี 2562-2564 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทโรงพิมพ์ตะวันออกประมาณปีละ 260-340 ล้านบาทในระหว่างปี 2562-2564
อัตรากำไรจะยังคงอยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย
อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมอยู่ในช่วง 46%-65% ในระหว่างปี 2559-2561 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรดังกล่าวจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 47%-54% ในระหว่างปี 2562-2564 จากการยกเลิกสัญญาเช่าคลังสินค้าแห่งหนึ่ง
อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในธุรกิจสื่อโฆษณาคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับ 35%-40% เมื่อเทียบกับอัตรากำไรที่ระดับ 40%-45% ของบริษัทสื่อโฆษณารายอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับเดิมที่ 88% ในระหว่างปี 2562-2564 อีกด้วย
เงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับภาระหนี้ปรับตัวลดลง
ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงในช่วงปี 2562-2564 เนื่องจากคาดว่าบริษัทจะยังไม่ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในบริษัทโรงพิมพ์ตะวันออกในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากบริษัทโรงพิมพ์ตะวันออกต้องเก็บเงินสดเพื่อสำรองไว้ใช้ ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าบริษัทดังกล่าวจะไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยไปอยู่ที่ระดับประมาณ 600-630 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2562-2564 จากเดิมที่ระดับ 661 ล้านบาทในปี 2561
เงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับภาระหนี้ของบริษัทซึ่งพิจารณาจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินนั้นคาดว่าจะปรับตัวลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับ 14%-16% ในระหว่างปี 2562-2564 จากระดับ 22% ในปี 2561 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับเดิมที่ 6 เท่าในระหว่างปี 2562-2564 อีกด้วย
ภาระหนี้สินทางการเงินปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการขยายกิจการ
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็น 2,400-2,600 ล้านบาทในปี 2562-2564 จาก 2,005 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2562 เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนใหม่ ๆ ของบริษัท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินลงทุนอื่น ๆ จะเพิ่มขึ้นเป็น 580 ล้านบาทในปี 2562 จากระดับ 229 ล้านบาทในปี 2561 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะซื้อกิจการในธุรกิจสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 380 ล้านบาท นอกจากนี้ แผนการเปลี่ยนป้ายนิ่งเป็นป้ายจอ LED ในปี 2562 ก็จะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจึงคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 38% ในปี 2562 และหลังจากนั้นจะปรับตัวลดลงเป็น 32%-35% ในช่วงปี 2562-2564 ในการนี้
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ในระดับสูงสุดที่ 4.3 เท่าในระหว่างปี 2562-2563
สภาพคล่องยังคงเพียงพอ
แหล่งเงินทุนระยะยาวของบริษัทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้มีสัดส่วนคิดเป็นมากกว่า 90% ของภาระหนี้สินรวม ในขณะที่เงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วงปี 2562-2564 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 200-360 ล้านบาทต่อปี โดยบริษัทจะมีภาระหนี้ที่ครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 674 ล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกำหนดโดยอยู่บนสมมติฐานของทริสเรทติ้งที่คาดว่า กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 600-630 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
รายได้ของบริษัทคาดว่าจะเติบโตที่ระดับประมาณ 2%-8% ต่อปีในระหว่างปี 2562-2564
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 47%-54% ต่อปีในระหว่างปี 2562-2564
ค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 580 ล้านบาทในปี 2562 และหลังจากนั้นจะลดลงเป็น 25 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยได้ต่อไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอและจะดำรงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในที่ระดับต่ำกว่า 40% ได้อีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่การแข่งขันในอุตสาหกรรมติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การขยายธุรกิจที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงินและระดับความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงก็เป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่การลดอันดับเครดิตของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน