นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/62 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 19,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/62 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิที่ไม่รวมผลของการตัดจำหน่ายส่วนต่างมูลค่ายุติธรรมที่เทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) ในการเข้าซื้อกิจการทั้งสิ้น 1,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 499 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 53% จากไตรมาส 1/62 ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ของ GLOW เต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตามหากรวมค่าตัดจำหน่ายจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิ จำนวน 360 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นวันแรกที่รับรู้ผลประกอบการของ GLOW ในงบการเงินรวม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ตามงบการเงินรวมของบริษัท จะทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 2/62 มีจำนวน 1,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาส 1/62
"บริษัทยังสามารถผลิตไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนประสิทธิภาพในการบริหารงาน และยกระดับความความเชี่ยวชาญในการจัดการความมั่นคงด้านพลังงานได้อย่างมืออาชีพ"นายชวลิต กล่าว
นายชวลิต กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 29,057 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้ผลประกอบการของ GLOW นับตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2562 หลังการเข้าซื้อกิจการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทมีรายได้แต่ละโรงไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากศูนย์ผลิตสาธารณูปการ และโรงไฟฟ้าของ GPSC และ GLOW
ในส่วนของความคืบหน้าแผนการเข้าซื้อกิจการ GLOW ปัจจุบัน GPSC เข้าถือหุ้นแล้วทั้งสิ้น 95.25% และจะทำคำเสนอซื้อหุ้นส่วนที่เหลืออีก 4.75% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเดือนธันวาคม 2562 โดยในการซื้อกิจการ GLOW บริษัทได้ปรับโครงสร้างทางการเงินใหม่ เพื่อให้ฐานการเงินแข็งแกร่งมากขึ้นพร้อมรองรับการลงทุนโครงการที่มีอยู่ และโครงการที่จะดำเนินการในอนาคต ควบคู่ไปกับการทำ Synergyร่วมกันของทั้งสองบริษัท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนระดมเงินจำนวน 7.4 หมื่นล้านบาท
บริษัทจะนำเงินเพิ่มทุนไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้น และปรับโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 0.8 เท่า ส่งผลให้บริษัทมีขีดความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน การออกหุ้นกู้ เป็นต้น เพื่อเตรียมความพร้อมการลงทุนที่จะเกิดขึ้น ทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และโครงการทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานไฟฟ้ารองรับการขยายตัวของการใช้ไฟฟ้าทั้งจากภาคอุตสาหกรรม และตลาดการพัฒนาพลังงานทดแทนใหม่ๆของไทยที่จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นตามแผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP2018)
สำหรับกำลังการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ โครงการใหม่ที่จะดำเนินการในเชิงพาณิชย์ (COD)ในปี 2562 และปี 2563 ประกอบด้วย 4 โครงการ 1.โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำลิก 1 (NL1PC) ประเทศ สปป.ลาว กำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 40% เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อ 1 ก.ค.2562
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี (XPCL) กำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ ประเทศ สปป.ลาว ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 25% คาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2562
3.ศูนย์ผลิตสาธารณูปการแห่งที่ 4 จังหวัดระยอง (CUP 4) กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 70 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2562 และ 4.โครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG) ส่วนขยาย กำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 60 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 10 ตันต่อชั่วโมง ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 30% คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2563