ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ของ PL ที่"A-" แต่ปรับแนวโน้มเป็น"Negative"จากเดิม"Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 7, 2019 14:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ภัทร ลิสซิ่ง (PL) ที่ระดับ "A-" และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Negative" หรือ "ลบ" จาก "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะการเป็นผู้นำในตลาดเช่าดำเนินงานรถยนต์ของบริษัท คุณภาพลูกหนี้ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาระหนี้ในระดับที่ยอมรับได้และการมีโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตได้ถูกปรับลดลงเพื่อสะท้อนความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดคงเหลือเพื่อชำระหนี้ที่อ่อนแอลงของบริษัท

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีสถานะเป็นผู้นำในตลาดเช่าดำเนินงานรถยนต์

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงสถานะความเป็นผู้นำในตลาดเช่าดำเนินงานรถยนต์เอาไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงรักษาฐานลูกค้าขนาดใหญ่เอาไว้ได้ โดยเฉพาะลูกค้าบริษัทเอกชนขนาดใหญ่เนื่องจากความมีชื่อเสียงและการมีบริการที่ครอบคลุมของบริษัท บริษัทยังคงเป็นหนึ่งในผู้ให้เช่าสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้ให้บริการรถเช่าจากฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง โดย ณ เดือนมีนาคม 2562 บริษัทให้บริการแก่ลูกค้ากว่า 1,400 ราย โดยมีลูกค้าใหม่ 78 รายในปีที่ผ่านมาด้วยสินทรัพย์ให้เช่า 1.02 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2561

คุณภาพลูกหนี้มีแนวโน้มดีขึ้น

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของบริษัทซึ่งสะท้อนถึงลูกค้าค้างชำระเกิน 90 วัน นั้นจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทได้เพิ่มความรัดกุมของเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสัญญาเช่าใหม่ให้เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการใช้ข้อมูลเพิ่มเติมจากข้อมูลเครดิตแห่งชาติเพื่อประกอบการประเมินลูกค้าด้วย โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของบริษัทปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.4% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 จาก 1.9% ณ สิ้นปี 2560 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากหนี้สูญชำระคืนด้วย เกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสัญญาเช่าที่เข้มงวดมากขึ้นจะช่วยจำกัดความเสี่ยงของลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้และหนี้เสียในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าปริมาณการตั้งสำรองของบริษัทจะอยู่ในระดับคงที่ในระยะปานกลาง

ภาระหนี้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับปานกลาง โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ในระดับคงที่ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ระดับ 77.3% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 แม้ว่าเงินกู้ยืมจะเพิ่มขึ้นในปี 2561 และในไตรมาสแรกของปี 2562 ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรลดลง ทางด้านฐานทุนนั้น ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทมีฐานทุนที่แข็งแรงเพียงพอที่จะใช้สนับสนุนการขยายธุรกิจ

โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะอยู่ที่ระดับ 3-4 เท่าในปี 2562-2564 อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ระดับ 3.4 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2560 และ 2561 และต่ำกว่าเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ของบริษัทที่ 7 เท่า ทั้งยังเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นจากเดิมที่ระดับ 4.8 เท่าในปี 2557 อันเป็นผลจากการเพิ่มทุนโดยผ่านการเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในปี 2558

โครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินที่สอดคล้องกัน

บริษัทมีโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินที่สอดคล้องกันซึ่งจะช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้แก่บริษัทได้ โดยบริษัทมีการบริหารระยะเวลาการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของสัญญาเช่าซึ่งส่วนใหญ่นาน 3-4 ปีด้วยการใช้เงินกู้ยืมระยะยาวเป็นแหล่งเงินทุนหลัก โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมระยะสั้นต่อเงินกู้ยืมรวมอยู่ที่ระดับ 42.2% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 อีกทั้งบริษัทยังถือว่ามีความยืดหยุ่นทางการเงินที่เพียงพอเนื่องจากบริษัทมีทั้งวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินในประเทศหลายแห่งและยังมีความสามารถในการระดมทุนได้ทั้งจากตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้อีกด้วย

ความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อชำระหนี้อยู่ภายใต้แรงกดดัน

อัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจเช่าดำเนินงานของบริษัทได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันด้านราคาของคู่แข่งรายใหม่ในตลาดและส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำหนดราคาของบริษัทซึ่งเริ่มใช้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจึงปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 17.2% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 จาก 18.8% ในปี 2561 และ 20.2% ในปี 2560

อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทในปี 2561 อยู่ที่ระดับ 1.6% โดยยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับปี 2559-2560 จากการกลับรายการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญและผลประโยชน์ทางภาษีที่บริษัทได้รับ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.1% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 จากการขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ให้เช่าตามสัญญาเช่าดำเนินงาน ทริสเรทติ้งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะปานกลาง เนื่องจากกลยุทธ์ของผู้บริหารซึ่งรวมไปถึงการขยายประเภทของสินทรัพย์ที่ให้บริการไปสู่สินทรัพย์ประเภทที่ให้ผลตอบแทนสูง การเพิ่มปริมาณการจำหน่ายสินทรัพย์หมดสัญญาเช่าผ่านช่องทางที่ขายให้แก่ลูกค้ารายย่อย และการนำรถยนต์ที่หมดอายุสัญญาเช่ากลับมาให้เช่าระยะสั้นเพื่อสร้างกำไรเพิ่มเติม

ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อชำระหนี้ของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นอยู่ในเกณฑ์เพียงพอแต่มีแนวโน้มที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.6 เท่าในปี 2561 จาก 1.8 เท่า ในปี 2556 ทริสเรทติ้งเชื่อว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีของบริษัทจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันหากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจเช่าดำเนินงาน ซึ่งคิดเป็น 80.0% ของธุรกิจทั้งหมดของบริษัท ยังคงหดตัวลง ซึ่งอาจเกิดได้จากอัตราส่วนผลตอบแทนจะดีขึ้นค่อนข้างจำกัดในระยะสั้นเป็นผลจากสภาพการแข่งขันและความท้าทายในการรักษากำไรจากการขายสินทรัพย์หมดอายุสัญญาของบริษัท

สมมติฐานกรณีพื้นฐานในปี 2562-2564

อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ระดับประมาณ 17%

อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.3%-1.5%

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ระดับประมาณ 77%

แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดคงเหลือเพื่อชำระหนี้ที่อ่อนแอลงของบริษัท ซึ่งบ่งชี้โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายตามลำดับ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเป็น "Stable" หรือ "คงที่" หากความสามารถในการทำกำไรและการสร้างกระแสเงินสดคงเหลือเพื่อชำระหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบัน ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรและการสร้างกระแสเงินสดคงเหลือเพื่อชำระหนี้ของบริษัทปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ