บมจ. สยามราชธานี ยื่นไฟลิ่งเมื่อวันที่ 7 ส.ค.2562 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 85 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 27.42 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยการขายหุ้นครั้งนี้ แบ่งเป็น (1) การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป จำนวน 76,500,000 หุ้น และ(2)การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทจำนวนไม่เกิน 8,500,000 หุ้น และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้
ทั้งนี้ จะไม่มีการเสนอขายให้กับผู้จองซื้อรายย่อยหรือประชาชนเป็นการทั่วไป แต่จะเสนอขายให้ผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์, เสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน, เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัท
วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการที่มีอยู่
บริษัทฯประกอบธุรกิจใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจให้บริการจัดหาบุคลากร (Outsourcing Services) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจบริการบริหารจัดการ ซึ่งประกอบด้วย การบริหารจัดการพนักงานขับรถยนต์และพนักงานสำนักงาน การบริหารจัดการพนักงานช่างเทคนิค และการบริหารจัดการงานบันทึกข้อมูล และ 2) ธุรกิจบริการดูแลภูมิทัศน์ โดยสามารถแบ่งรูปแบบการให้บริการออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) บริการดูแลสวนขนาดใหญ่ 2) บริการออกแบบและจัดสวน และ 3) บริการตัดต้นไม้ใหญ่ (Tree Care)
ส่วนธุรกิจให้เช่าและบริการ ได้แก่ ธุรกิจบริการรถยนต์ให้เช่า บริษัทมีบริการรถยนต์ให้เช่าหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ รถยนต์ 4 ล้อ รถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ รถ 6 ล้อ และรถยนต์ดัดแปลง เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกของผู้ใช้บริการ โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกรถยนต์ และระยะเวลาการเช่าที่ตรงความต้องการได้ โดยสามารถแบ่งบริการหลักเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บริการรถยนต์ให้เช่า และ บริการรถยนต์ให้เช่าพร้อมคนขับ และธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ บริษัทประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารชุดให้แก่บุคคลภายนอก
ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ บริษัทได้นำความต้องการของลูกค้ามาต่อยอดการให้บริการและขยายธุรกิจของบริษัท รวมถึงบริษัทได้พัฒนาระบบต่างๆ อาทิ Tik Track, E-Slip, iRecruit, Valet Anywhere, Virtual Reality เพื่อประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ยอมรับของลูกค้าในวงกว้าง
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มี.ค.2562 มีสินทรัพย์รวม 1,123.96 ล้านบาท หนี้สินรวม 738.15 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 385.81 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 461.32 ล้านบาท ต้นทุนการให้บริการรวม 376.10 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21.42 ล้านบาท
สำหรับปี 2559 ถึงปี 2561 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม เท่ากับ 1,670.27 ล้านบาท 1,732.32 ล้านบาท และ 1,850.88 ล้านบาท ตามลำดับ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายตัวของธุรกิจบริการจัดหาบุคลากรโดยเป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าและคุณภาพของการให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทได้รับการต่อสัญญาจากลูกค้าเดิมที่เคยใช้บริการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้รับสัญญาใหม่ที่เพิ่มปริมาณพนักงานในการให้บริการจากลูกค้าเดิม บริษัทมีกำไรสุทธิในปี 2559 ถึง ปี 2561 เท่ากับ 138.35 ล้านบาท 116.11 ล้านบาท และ 101.01 ล้านบาท ตามลำดับ โดยการลดลงดังกล่าวเป็นผลมาการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการบริการและค่าใช้จ่ายในการบริหารจากการปรับฐานเงินเดือนพนักงานเพื่อสร้างแรงรูงใจในการทำงานและเพื่อดึงดูดพนักงานและผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถ และการเพิ่มจำนวนพนักงานและผู้บริหารของบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรองรับการขยายตัวของบริษัทในอนาคต นอกเหนือจากปัจจัยด้านการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดังกล่าว การมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าเสื่อมราคาอาคารสำนักงานใหญ่และค่าใช้จ่ายไม่ประจำที่เกิดขึ้นในปี 2561 ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักส่งผลให้กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิของบริษัทลดลง
โครงการในอนาคต คือ การเพิ่มจำนวนพนักงานในธุรกิจบริการจัดหาบุคลากร เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจบริการจัดหาบุคลากร และเพื่อให้สามารถขยายการให้บริการไปยังกลุ่มค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนพนักงาน ในส่วนของพนักงานขับรถยนต์และพนักงานสำนักงาน เช่น พนักงานธุรการ และพนักงานช่าง เป็นต้น โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท คือ หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน โดยการเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจจัดหาบุคลากร ซึ่งจำเป็นต้องมีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินการต่างๆ อาทิ การจ่ายเงินเดือนพนักงานและสวัสดิการต่างๆ
การขยายการลงทุนในธุรกิจบริการรถยนต์ให้เช่า ตามที่บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาและเพิ่มการให้บริการที่ครบวงจร สำหรับธุรกิจบริการรถยนต์ให้เช่า บริษัทจึงมีแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ ดังนี้
โครงการขยายการลงทุนในรถยนต์ดัดแปลง บริษัทมีแผนที่จะลงทุนในรถยนต์ดัดแปลง เพื่อรองรับการบริการให้กับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถตอบโจทย์หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่ต้องการเช่ารถประเภทดังกล่าวแทนการซื้อได้
โครงการ Pay per use บริษัทมีแผนที่จะขยายบริการรถยนต์ให้เช่าพร้อมคนขับแบบรายชั่วโมงหรือรายวัน โดยค่าใช้บริการถูกคำนวณจากการใช้งานตามจริงของลูกค้า (Pay per use) ซึ่งสามารถตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้ระยะสั้น โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท คือ บริษัทเอกชน และหน่วยงานราชการ
โครงการเพิ่มจำนวนรถยนต์ให้เช่า เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจบริการรถยนต์ให้เช่า และเพื่อให้สามารถขยายการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนรถยนต์ให้เช่าประมาณ 70 คัน
อย่างไรก็ตาม การจัดทำโครงการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดทำโครงการ
ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2562 บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 310.00 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 225.00 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 225.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวนไม่เกิน 310.00 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 310.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 8 ก.ค.2562 คือ กลุ่มวิมลเฉลา ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไกรเนาว์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้น 158,100,000 หุ้นคิดเป็น 70.27% หลังเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 51%, นายไกร วิมลเฉลา ถือหุ้น 33,450,000 หุ้นคิดเป็น 14.87% หลังเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 10.79%, นางเนาวรัตน์ วิมลเฉลา ถือหุ้น 8,363,000 หุ้นคิดเป็น 3.72% หลังเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 2.70%, นายณัฐพล วิมลเฉลา ถือหุ้น 8,363,000 หุ้นคิดเป็น 3.72% หลังเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 2.70%
บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี