นายสนทยา น้อยเจริญ ที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษากฎหมายในการแก้ไขปัญหาการชำระหนี้หุ้นกู้โดยรวมทั้งหมดให้กับบมจ.พีพี ไพร์ม (PPPM) จากบริษัท ฟีนิกซ์ แอดไวเซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด เปิดเผยว่า PPPM อยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาหลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับบริษัท โดยเฉพาะปัญหาทางด้านการเงินที่เริ่มมีสภาพคล่องที่ตึงตัว ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการโครงสร้างทางการเงินของบริษัทหลังจากในช่วงที่ผ่านมามีการบริหารที่ไม่เป็นระบบ จึงกระทบต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้ต่างๆ
หลังจากการแก้ไขปัญหาการชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน ครั้งที่ 1/2560 จำนวน 260.50 ล้านบาท ไปแล้ว ซึ่งได้มีการพูดคุยกับธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในฐานะนายทะเบียนหุ้นกู้เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ทราบว่าเป็นผลมาจากระบบการตัดเงินของ SCB เกิดความผิดพลาด และได้มีการทำการแก้ไขแล้ว ส่งผลให้บริษัทสามารถคืนเงินหุ้นกู้ชุดแรกคืนให้กับผู้ถือหุ้นกู้ได้ครบทั้งหมด
ส่วนหุ้นกู้ชุดที่สองจำนวนเงิน 319.50 ล้านบาทที่บริษัทได้ขอขยายระยะเวลาการไถ่ถอนออกไป 330 วันเป็นวันที่ 2 ก.ค.63 จากเดิมที่มีกำหนดไถ่ถอนวันที่ 2 ส.ค.62 เป็นผลมาจากการบริหารจัดการด้านการเงินของบริษัทที่ยังมีปัญหา หลังจากที่บริษัทแจ้งข่าวออกไป มีผู้ถือหุ้นกู้ได้ติดต่อสอบถามเข้ามามาก และมีผู้ถือหุ้นกู้ยอมรับข้อเสนอและเหตุผลในการขยายระยะเวลาไถ่ถอนหุ้นกู้แล้วประมาณ 5 ราย ดังนั้น บริษัทจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 2 ก.ย.62 เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ถือหุ้นกู้ พร้อมกับการเปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทหลังจากนี้
สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้รองรับการชำระคืนหนี้หุ้นกู้นั้น บริษัทจะมีการขายทรัพย์สินบางส่วนออกไป โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศญี่ปุ่นที่มีอยู่ 23 ยูนิต โดยที่มี 15 ยูนิตที่จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วและมีผู้ติดต่อขอซื้อพร้อมวางเงินมัดจำเข้ามาราว 126 ล้านบาท จากมูลค่าที่เสนอขาย 1.18 พันล้านบาท ซึ่งทางผู้ซื้อได้ขอเลื่อนการซื้อออกไปจากเดิมเดือนมิ.ย.ที่ผานมา แต่บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินจากผู้ซื้อภายในเดือนธ.ค.นี้
หากบริษัทได้รับเงินที่ได้จากการขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น 15 ยูนิตแล้ว จะมีเงินที่สำรองไว้เพียงพอรองรับการชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดที่เหลืออีก 4 ชุด ซึ่งรวมหุ้นกู้ชุดที่สองที่ขยายระยะเวลาการไถ่ถอนออกไปด้วย รวมเป็นเงินเกือบ 900 ล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่าหุ้นกู้ชุดที่ 3-5 วงเงิน 541 ล้านบาท จะไม่มีการขอขยายระยะเวลาการไถ่ถอนอย่างแน่นอน โดยที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้ถือหุ้นหุ้นกู้ของบริษัททั้งหมดมากกว่า 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (High Net-Worth)
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขายหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯที่บริษัทเข้าไปลงทุนอยู่ออกไปทั้ง 2 บริษัท ได้แก่ บมจ.เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป (ACAP) ซึ่งมีหุ้นอยู่จำนวน 43 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 13.67% และบมจ.สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค (STAR) ซึ่งมีหุ้นอยู่จำนวน 31 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 11.72% โดยเป็นการขายแบบบิ๊กล็อตออก เบื้องต้นได้มีการติดต่อขายให้กับนักลลงทุนรายใหญ่ไว้แล้ว คาดว่าจะสามารถขายหุ้นทั้ง 2 บริษัทออกไปได้ในช่วงที่เหลือของปปีนี้ พร้อมกับจะพิจารณาการขายที่ดินบางส่วนออกไปด้วย เพื่อนำเงินมารองรับการการชำระคืนหนี้ต่างๆที่บริษัทมีอยู่
ปัจจุบัน บริษัทมีหนี้ที่เป็นเงินกู้ยืมกับสถาบันการเงิน 2 แห่ง จำนวน 927 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนหนี้ในปลายปี 63 ซึ่งบริษัทมั่นใจว่ามีความพร้อมและความสามารถในการชำระคืนหนี้แน่นอน เพราะการขายสินทรัพย์ต่างๆ ออกไปทำให้บริษัทมีเงินมารองรับการคืนหนี้ได้เกือบทั้งหมด และยังมีธุรกิจอาหารสัตว์ที่ยังสร้างรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่นที่ยังไม่ได้ขายออกไปอีก 8 ยูนิต เนื่องจากยังไม่ได้เริ่ม COD เป็นปัจจัยที่ทำให้ยังมีเงินเข้ามารองรับธุรกรรมต่างๆ
อย่างไรก็ตาม หากมีการลงทุนใหม่ๆที่บริษัทมองเห็นถึงโอกาสที่น่าสนใจที่เข้ามาหนุนต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้า บริษัทยังไม่ได้มีการปิดกั้นในการใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ เช่น การเพิ่มทุน ซึ่งยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเครื่องมือทางการเงินที่บริษัทไม่ได้ปิดกั้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับทางทีมบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทจะมีความคิดเห็นอย่างไรและเห้นด้วยหรือไม่ ซึ่งหากมีโอกาสที่ดีเข้ามาก็จะนำมาพิจาณาต่อไป
"ที่ผ่านมาความเชื่อมั่นของนักลงทุนใน PPPM และผู้ถือหุ้นกู้ก็น่าจะไม่มั่นใจและตกใจกันมาก ซึ่งจริงๆแล้วเรายังชำระคืนหุ้นกู้ชุดแรกได้ตามปกติ แต่เกิด Error จากระบบของธนาคาร ต้องขอบคุณผู้บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ช่วยเราประสานงานได้เป็นอย่างดี ส่วนหุ้นกู้ชุดที่สองที่เราต้องเลื่อนนั้นเพราะการบริหารจัดการการเงินของบริษัทที่มีปัญหา และสภาพคล่องที่ตึงตัว ทำให้เกิดการติดขัดในการคืนเงินหุ้นกู้ ซึ่งในวันที่ 2 ก.ย.ที่จะถึงนี้เราได้จัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ทั้งหมดมาคุยกับเรา พร้อมกับเปิดเผย Outlook ของบริษัทต่อไปว่าจะดำเนินงานไปอย่างไร ทำให้ทุกคนมีความมั่นใจในตัวของบริษัท
ตอนนี้ผู้บริหารทุกคนพร้อมที่เดินหน้าบริษัท และแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น และทางเราตอนนี้ก็แก้ไขโครงสร้างทางการเงินในบริษัทอยู่ซึ่งเป็นปัญหาให้กับบริษัทในตอนนี้ พร้อมกับการขายทรัพย์สินต่างๆออกไป เพราะทรัพย์สินบางรายการรวมๆกันแล้วมีการบันทึกค่าเสื่อมทางบัญชี 140 ล้าน/ปี ซึ่งเป็นภาระให้กับบริษัท ทำให้ต้องตัดขายบางอย่างออกไปเพื่อลดภาระผูกพันลง และฟื้นให้บริษัทกลับมาได้"นายสนทยา กล่าว